คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4906/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สินค้าคอนเดนเซอร์ ที่จำเลยนำเข้ามาเป็นส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ อันเป็นเครื่องปรับอากาศชนิดให้ความสะดวกสบายมิใช่เครื่องปรับอากาศที่ใช้ระบาย ความร้อนของเครื่องจักรและเครื่องคอนเดนเซอร์ ที่จำเลยนำเข้ามานั้นในตัวเอง ไม่อาจใช้ผลิตหรือเป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าตัวอื่นอันจะถือเป็นเครื่องจักรได้ จึงเป็นสินค้าที่อยู่ในประเภทพิกัดที่ 84.15 ข .จำเลยจึงต้องเสียอากรในพิกัดอัตราร้อยละ 80 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2529 จำเลยที่ 1 ยื่นคำขอเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลของปี พ.ศ. 2522 อันเป็นเงินได้หรือรายรับที่มีอยู่ก่อนในปีภาษี พ.ศ. 2527 จึงได้รับประโยชน์จากบทบัญญัติ มาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529 โจทก์ที่ 2 จะเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่ม กับเงินเพิ่มหาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2522 จำเลยที่ 2 ได้นำเข้าสินค้าคอนเดนเซอร์จากประเทศญี่ปุ่นได้สำแดงสินค้าว่าเป็นอุปกรณ์เครื่องปรับอากาศพิกัดประเภทที่ 84.17 ก. อัตราอากรร้อยละ 30 และได้ชำระเงินค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาล ครั้นต่อมาเจ้าพนักงานของโจทก์ที่ 1 ได้ตรวจสอบพบว่าสินค้าที่จำเลยนำเข้าเป็นสินค้าที่จัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 84.15 ข. อัตราอากรร้อยละ 80 จึงได้ทำการประเมินค่าอากรขาเข้าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเสียใหม่ ซึ่งปรากฏว่าจำเลยที่ 1 จะต้องขำระเงินเพิ่มคืออากรขาเข้า 508,714.80 บาท ภาษีการค้า 19,153.11 บาท ภาษีบำรุงเทศบาล1,915.31 บาท และเงินเพิ่มภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ทวิในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนของเงินค่าภาษีการค้าที่ต้องขำระนับแต่วันที่ครบกำหนด 15 วัน ถัดจากเดือนภาษี ซึ่งคำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน19,153.11 บาท กับจะต้องเสียเงินเพิ่มภาษีบำรุงเทศบาลในอัตราร้อยละ10 ของเงินเพิ่มภาษีการค้า ซึ่งคำนวณแล้วเป็นเงิน 1,915.31 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 550,851.64 บาท จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า สินค้าที่จำเลยที่ 1 นำเข้าเป็นสินค้าประเภทคอนเดนเซอร์ซึ่งมิใช่ส่วนประกอบสำคัญของเครื่องปรับอากาศ หากแต่เป็นพาทร์หรือโปรดักซ์ที่ใช้กับเครื่องปรับอากาศรถยนต์ชนิดที่ไม่มีเครื่องครบชุดในตัวและเป็นสินค้าที่ต้องจัดอยู่ในพิกัดประเภทที่ 84.17 ก. ตามที่จำเลยได้สำแดงไว้ในใบขนสินค้าและแบบแสดงรายการการค้า การที่เจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1อ้างว่าสินค้ารายพิพาทอยู่ในพิกัดประเภทที่ 84.15 ข. เป็นการไม่ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าภาษีอากรให้แก่โจทก์ทั้งสอง เป็นเงิน 550,841.64 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “สินค้าคอนเดนเซอร์ที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามานั้นเป็นสินค้าที่จัดอยู่ในประเภทพิกัด 84.15 ข. หรือ84.17 ก. และจำเลยที่ 1 ตัองรับผิดชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มหรือไม่
ปัยหาแรกนั้น ข้อเท็จจริงยุติว่าสินค้าคอนเดนเซอร์ตามฟ้องเป็นอุปกรณ์เครื่องปรับอากาศที่ใช้กับรถยนต์ ซึ่งตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2503 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร (ฉบับที่ 35) พ.ศ. 2521 มาตรา 4ได้กำหนดพิกัอัตราศุลกากรไว้ดังนี้
“ประเภทที่ 84.15 ตู้เย็นและเครื่องทำความเย็นทั้งชนิดที่ใช้ไฟฟ้าและชนิดอื่น ก. ตู้เย็น (1) ฯลฯ ข.เครื่องปรับอากาศ และส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ อัตราอากรร้อยละ 80
ประเภทที่ 84.17 เครื่องจักร เครื่องจักรโรงงานและเครื่องที่คล้ายกันสำหรับใช้ในห้องทดลองที่ทำให้วัตถุต่าง ๆ เปลี่ยนสภาพโดยกรรมวิธีที่เปลี่ยนอุณหภูมิ ซึ่งจะใช้ไฟฟ้าให้ความร้อนด้วยหรือไม่ก็ตาม เช่น การทำให้ร้อน การทำให้สุก การย่าง การกลั่น การกรองให้บริสุทธิ์ การฆ่าเชื้อด้วยความร้อน การฆ่าเชื้อด้วยวิธีปาสเตอร์ไรซ์ การอบด้วยไอน้ำ ทำให้แห้ง ทำให้ระเหย ทำให้เป็นไอทำให้ข้นหรือทำให้เย็น (แต่ต้องมิใช่เครื่องจักรหรือเครื่องจักรโรงงานชนิดที่ตามธรรมดาใช้ในบ้านเรือน) รวมทั้งเครื่องที่ทำให้น้ำร้อน ขนิดไหลผ่านท่อหรือชนิดแช่ในถังใหญ่ ที่มิได้ใช้ไฟฟ้า ก.ที่ใช้กับเครื่องทำความเย็นหรือเครื่องปรับอากาศ… อัตราอากรร้อยละ 30”
จะเห็นได้ว่าสินค้าในพิกัดสองประเภทนี้กำหนดลักษณะและความมุ่งหมายในการใช้ไว้ต่างกัน กล่าวคือ ในพิกัดประเภทที่ 84.15 นั้นเป็นสินค้าประเภทที่ใช้ เพื่อความสะดวกสบายหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นสินค้าประเภทฟุ่มเฟือย อัตราอากรจึงได้กำหนดไว้สูงถึงร้อยละ 80 ส่วนสินค้าในพิกัด 84.17 นั้น เป็นสินค้าประเภทเครื่องจักรโรงงาน ซึ่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร (ฉบับที่ 35) พ.ศ. 2521 มิได้ให้ความหมายของคำว่า เครื่องจักรไว้เป็นพิเศษแต่อย่างใด คำว่าเครื่องจักรจึงต้องถือตามความหมายธรรมดา ซึ่งพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายไว้ว่า เป็นกลไกอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นเครื่องเพื่อใช้ในการผลิตสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สินค้าที่อยู่ในพิกัดประเภทนี้จึงต้องเป็นสินค้าที่นำมาใช้เพื่อประโยชน์ในการผลิตหรือเป็นสินค้าประเภทที่นำมาใช้งานเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการผลิตผลงานอย่างอื่น จึงได้กำหนดพิกัดอัตราอากรไว้ต่ำลงมาเพียงร้อยละ 30 มิใช่สินค้าที่ใช้เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายอย่างที่กำหนดไว้ในพิกัด 84.15 คำว่า “เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ” ในพิกัดประเภทที่ 84.15 ข. นั้น จึงหมายถึงเครื่องปรับอากาศหรือส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศที่ใช้เพื่อความสะดวกสบาย ส่วนคำว่า “ที่ใช้กับเครื่องทำความเย็นหรือเครื่องปรับอากาศ” ในพิกัดประเภทที่ 84.17 ก. นั้น หมายถึงเครื่องทีจะระบายความร้อนให้กับเครื่องจักรขณะที่เครื่องจักรทำงานซึ่งใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องจักร ดังนั้น สินค้าคอนเดนเซอร์ที่โจทก์นำเข้ามาเป็นส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ อันเป็นเครื่องปรับอากาศชนิดให้ความสะดวกสบาย มิใช่เครื่องปรับอากาศที่ใช้ระบายความร้อนของเครื่องจักรและเครื่องคอนเดนเซอร์ที่โจทก์นำเข้ามานั้นในตัวเองก็ไม่อาจใช้ผลิตหรือเป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าตัวอื่นอันจะถือว่าเป็นเครื่องจักรได้ จึงเป็นสินค้าที่อยู่ในประเภทพิกัดที่84.15 ข. จำเลยที่ 1 จึงต้องเสียอากรในพิกัดอัตราดังกล่าวคือร้อยละ80 อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในปัยหานี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประกดารที่สองนั้น ศาลภาษีอากรกลางยังมิได้วินิจฉัยศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นปัญหาที่อยู่ในประเด็นข้อพิพาทและพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนมีขัอเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัยปัญหานี้ จึงเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาพิพกาษาใหม่ ข้อเท็จจริงในปัญหานี้จำเลยทั้งสองนำสืบว่าจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอเสียภาษีอากรตามมาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529 ตามเอกสารหมายล. 2 โจทก์ มิได้นำสืบในเรื่องนี้ให้เห็นเป็นอย่างอื่นและเอกสารหมายล. 2 ก็มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีของโจทก์ที่ 2 รับรองความถูกต้องจึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอเสียภาษีอากรตามมาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529แล้ว พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ.2529 มาตรา 30 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากร ผู้ใดซึ่งยังไม่ได้เสียภาษีอากร หรือเสียไว้ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่บริบูรณ์ ได้ยื่นคำขอเสียภาษีอากรตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2529 และได้ชำระภาษีอากรตามจำนวนที่ต้องเสียตามมาตรานี้ ภายในระยะเวลาและหลักเกกณฑ์ที่อธิบดีกำหนดซึ่งต้องไม่เกินสองปีนับแต่วันยื่นคำขอ ให้ผู้นั้นได้รับยกเว้นการเรียกตรวจสอบไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรและความผิดทางอาญา ตามประมวลรัษฎากรสำหรับเงินได้หรือรายรับที่มีอยู่ก่อนหรือในปีภาษี พ.ศ. 2527 หรือรอบระยะยเวลาบัญชีที่สิ้นสุดลงก่อนหรือในวันที่31 ธันวาคม พ.ศ. 2527…” จำเลยที่ 1 ยื่นคำขอเสียภาษีตามเอกสารหมาย ล.2 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2529 และในเอกสารดังกล่าวมีความระบุไว้ให้เห็นว่ามีการชำระเงินแล้ว การยื่นคำขอเสียภาษีอากรของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงครบถ้วนถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรณีพิพาทนี้เป็นภาษีอากรในปี พ.ศ. 2522 และมิใช่ภาษีอากรในประเภทที่มิให้นำบทบัญญัติในมาตรา30 ใช้บังคับ ดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงได้รับประโยชน์จากกฎหมายดังกล่าวโจทก์ที่ 2 จึงจะเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มกับเงินเพิ่มตามที่ฟ้องอีกไม่ได้เพราะเป็นภาษีตามประมวลรัษฎากรสำหรับเงินได้หรือรายรับที่มีอยู่ก่อนในปีภาษี พ.ศ.2527 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการก็พ้นความรับผิดในหนี้ส่วนนี้ด้วย…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล และค่าขึ้นศาลส่วนนี้ในศาลภาษีอากรกลางให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง.

Share