คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4876/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะเกิดกรณีพิพาทโจทก์ไม่ได้ทำนาในที่ดินพิพาทแล้ว แต่ได้ขุดบ่อเลี้ยงปลาจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เช่านาตามความหมายในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 เป็นการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทอื่น จึงต้องนำมาตรา 63 มาใช้บังคับ ซึ่งมีใจความว่าในกรณีที่การเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทใดนอกจากการเช่านาเมื่อรัฐบาลเห็นสมควรกำหนดให้การเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทนั้นมีการควบคุมก็ให้มีอำนาจกระทำการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา เมื่อปรากฏว่ายังไม่มีพระราชกฤษฎีกาควบคุมการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทอื่น ดังนั้น โจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และศาลพิพากษายกฟ้องแล้วฟ้องแย้งย่อมต้องตกไปเพราะการฟ้องแย้งนั้นจะมีได้ต้องมีฟ้องเดิมและตัวโจทก์เดิมที่จะเป็นจำเลยของฟ้องแย้งอยู่ด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่านาจากจำเลยที่ 1 และได้เข้าทำนาในที่ดินดังกล่าวแต่เนื่องจากน้ำทะเลเข้าถึง การทำนาไม่ได้ผล จึงขอแปรสภาพทำเป็นที่เลี้ยงปลาส ลิด จำเลยที่ 1 ยินยอม โจทก์จึงลงทุนเลี้ยงปลาส ลิดมาจนปัจจุบัน โจทก์ในฐานะผู้เช่าที่นาได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ซึ่งบัญญัติให้โจทก์มีสิทธิซื้อที่นาที่โจทก์ครอบครองและทำอยู่ก่อนผู้ใดขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่นาโฉนดเลขที่ 5040ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ให้แก่โจทก์ และรับเงินค่าที่ดินจำนวน 300,000 บาท ไปจากโจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและให้ถือว่าสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2ไม่มีผลบังคับ
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์ไม่เคยเช่าที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์ไม่เคยทำนาหรือพืชไร่ในที่พิพาท เพราะที่พิพาทเป็นบ่อเลี้ยงปลามาก่อน โจทก์ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความและเคลือบคลุมการกระทำของโจทก์เป็นการละเมิด ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายขอให้ยกฟ้องโจทก์ และให้บังคับโจทก์อพยพขนย้ายรื้อถอนบ้านเลขที่ 72ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5040 ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะออกไปและมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์(น่าจะเป็นจำเลยที่ 1) เสร็จ หากโจทก์ไม่รื้อถอนและออกไป ขอให้ศาลออกหมายจับ หรือยอมให้จำเลยที่ 1 เข้าทำการรื้อถอนบ้านดังกล่าวโดยโจทก์เป็นฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนให้แก่จำเลยที่ 1จำนวน 2,000 บาท
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
โจทก์ให้การฟ้องแย้งว่า โจทก์อยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่า โจทก์จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 โจทก์ไม่ได้ละเมิดต่อจำเลยที่ 1และไม่ทำให้จำเลยที่ 1 เสียหาย จำเลยที่ 1 เป็นผู้นำที่พิพาทไปขายให้บุคคลอื่น จึงไม่อยู่ในฐานะผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิฟ้อง และฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์และบริวารรื้อถอนขนย้ายบ้านของโจทก์ออกไปจากที่ดินของจำเลยที่ 1 โฉนดเลขที่ 5040ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 เดือนละ 250 บาท นับแต่วันฟ้องแย้ง (27 ธันวาคม 2528)จนกว่าจะออกและส่งมอบที่พิพาท ถ้าโจทก์ไม่รื้อถอนขนย้ายบ้านออกไปให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนขนย้ายโดยให้โจทก์เสียค่าใช้จ่ายแก่จำเลยที่ 1จำนวน 2,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่ให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนขนย้ายบ้านของโจทก์ โดยให้โจทก์เสียค่าใช้จ่าย2,000 บาท ให้จำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การฟ้องขอให้เจ้าของนาและผู้รับโอนนาโอนขายนาให้แก่ผู้เช่า จะต้องพิจารณาว่าโจทก์ทำนาหรือไม่ก่อนและตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 21บัญญัติว่า “นา” หมายความว่า ที่ดินที่เช่าเพื่อทำนาทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่ “ทำนา” หมายความว่า การเพาะปลูกข้าวหรือพืชไร่คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่นาจากจำเลยที่ 1 ทำนาเพียงปีเดียวหลังจากนั้นโจทก์ได้ขุดบ่อเลี้ยงปลาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 จนถึงวันฟ้อง ตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวขณะเกิดกรณีพิพาทโจทก์หาได้ทำนาในที่พิพาทไม่ จึงถือไม่ได้ว่า โจทก์เป็นผู้เช่านาตามความหมายในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แต่เป็นการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทอื่น กรณีจึงต้องนำพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 63 มาใช้บังคับซึ่งมาตราดังกล่าวบัญญัติมีใจความว่า ในกรณีที่การเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทใด นอกจากการเช่านา เมื่อรัฐบาลเห็นสมควรกำหนดให้การเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทนั้นมีการควบคุมตามพระราชบัญญัตินี้เพื่อขจัดปัญหา ก็ให้มีอำนาจกระทำการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา แต่ปรากฏว่าขณะนี้ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาควบคุมการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทอื่น ดังนั้นโจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยนั้น เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และศาลพิพากษายกฟ้องแล้ว ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ต้องตกไป เพราะการฟ้องแย้งนั้นจะมีได้จะต้องมีฟ้องเดิมและตัวโจทก์เดิมที่จะเป็นจำเลยของฟ้องแย้งอยู่ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1.

Share