คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4774/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475มาตรา 39 วรรคแรก โจทก์ผู้รับประเมินจะมีอำนาจฟ้องต่อเมื่อโจทก์ได้ชำระค่าภาษีทั้งสิ้นก่อนแล้ว ไม่ว่ากำหนดระยะเวลาการชำระค่าภาษีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 38 ได้สิ้นสุดลงแล้วก่อนโจทก์ฟ้องคดี หรือจะสิ้นสุดลงในระหว่างที่คดียังอยู่ในศาลก็ตาม แม้ขณะโจทก์ยื่นฟ้อง กำหนดระยะเวลาชำระค่าภาษีตามมาตรา 38 ยังไม่สิ้นสุดลงก็ตาม แต่ก็เป็นกรณีที่ถึงกำหนดชำระระหว่างที่คดียังอยู่ในศาลซึ่งมาตรา 39 บัญญัติให้โจทก์ต้องชำระเสียก่อนยื่นฟ้องคดี เมื่อปรากฏว่าโจทก์เพิ่งชำระค่าภาษีหลังจากยื่นฟ้อง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของอาคารซึ่งโจทก์ได้ประเมินค่ารายปีเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับปี พ.ศ. 2530 รวมเป็นเงิน64,080 บาท ชำระค่าภาษีแล้ว 8,080 บาท ต่อมาจำเลยได้แจ้งค่ารายปีสูงขึ้นเป็นเงิน 131,640 บาท และให้โจทก์เสียภาษีเป็นเงิน16,455 บาท โจทก์ได้อุทธรณ์การประเมิน จำเลยได้วินิจฉัยชี้ขาดให้โจทก์นำเงินค่าภาษีตามจำนวนดังกล่าวไปชำระโจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินที่เรียกเก็บเกินไป จำนวน 8,435 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ประเมินค่ารายปีไม่ถูกต้อง จำเลยได้ตรวจสอบอัตราค่าเช่าที่โจทก์เรียกเก็บจากผู้เช่าอาคารของโจทก์ทุกราย ปรากฏว่าแตกต่างไปจากที่โจทก์แสดงไว้ในแบบแจ้งการประเมินเจ้าพนักงานประเมินจึงได้ประเมินค่ารายปีของอาคารตามฟ้องของโจทก์เสียใหม่ตามหลักฐานที่ตรวจพบกับประเมินให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มการประเมินของเจ้าพนักงานชอบแล้ว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและโจทก์ฟ้องคดีโดยยังไม่ได้ชำระเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ทั้งไม่อาจขอคืนเงินตามคำขอท้ายฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่าหลังจากโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้แล้ว โจทก์ได้ชำระค่าภาษีตามหนังสือแจ้งการประเมินให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้วเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2532
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 39 วรรคแรก บัญญัติว่า”ถ้ามีผู้ยื่นฟ้องต่อศาลตามความในมาตรา 31 ท่านห้ามมิให้ศาลประทับเป็นฟ้องตามกฎหมายเว้นแต่จะเป็นที่พอใจศาลว่า ผู้รับประเมินได้ชำระค่าภาษีทั้งสิ้นซึ่งถึงกำหนดต้องชำระ เพราะเวลาซึ่งท่านให้ไว้ตามมาตรา 38 นั้นได้สิ้นไปแล้วหรือจะถึงกำหนดชำระระหว่างที่คดียังอยู่ในศาล” จากบทบัญญัติดังกล่าว ย่อมหมายความว่า โจทก์จะมีอำนาจฟ้องต่อเมื่อโจทก์ได้ชำระค่าภาษีทั้งสิ้นก่อนแล้วไม่ว่ากำหนดระยะเวลาการชำระค่าภาษีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 38 ได้สิ้นสุดลงแล้วก่อนโจทก์ฟ้องคดีหรือจะสิ้นสุดลงในระหว่างที่คดียังอยู่ในศาลก็ตาม กรณีของโจทก์คดีนี้ แม้กำหนดชำระค่าภาษีตามมาตรา 38ยังไม่สิ้นสุดในขณะยื่นฟ้องก็ตาม ก็เป็นกรณีที่ถึงกำหนดชำระระหว่างที่คดียังอยู่ในศาลซึ่งมาตรา 39 ก็บัญญัติให้โจทก์ต้องชำระเสียก่อนยื่นฟ้องคดี เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามคำแถลงรับของคู่ความว่าขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์ยังมิได้ชำระค่าภาษีดังกล่าว แต่เพิ่งมาชำระหลังจากได้ยื่นฟ้องคดีนี้แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน

Share