คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4475/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยตกลงขายที่พิพาทให้โจทก์ในวันทำสัญญาซื้อขายโจทก์ได้ชำระเงินมัดจำบางส่วน เงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำเลยจะขอรับเอาเมื่อจำเลยได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์เสร็จและในระหว่างที่ยังไม่โอนที่ดินให้แก่โจทก์จำเลยได้มอบที่ดินซึ่งซื้อขายให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ ดังนี้คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองของโจทก์โดยละเอียด และแจ้งชัดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ครอบครองที่พิพาทตามสัญญาจะซื้อจะขาย จึงเป็นการครอบครองที่พิพาทแทนจำเลย จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะเข้าครอบครองที่พิพาทเมื่อใดก็ได้ และเมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทก็เป็นการเข้าครอบครองที่ของตนเองหาใช่เป็นการแย่งการครอบครองไม่ จึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า 1 แปลง ตั้งอยู่ที่ตำบลกังแอน อำเภอปราสาทจังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ มีอาณาเขตที่ติดต่อตามแผนที่ท้ายฟ้อง เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2515 จำเลยขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นเงิน 3,800 บาท ทำสัญญาซื้อขายกันไว้โจทก์ได้ชำระเงินมัดจำไว้เป็นเงิน 1,500 บาท ในวันทำสัญญา เงินส่วนที่เหลือจำเลยจะรับเมื่อจำเลยได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยได้มอบการครอบครองที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทำประโยชน์ตั้งแต่วันทำสัญญาปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายสัญญาซื้อขายท้ายฟ้อง โจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวในฐานะเป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผยถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วและในระหว่างโจทก์ครอบครองที่ดินดังกล่าวโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยไปทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนขายที่ดังกล่าวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หลายครั้ง จำเลยขอผัดผ่อนเรื่อยมา ต่อมาเมื่อระหว่างเดือนมิถุนายน 2527 จำเลยได้เข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไปและให้ไปทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยปฏิเสธ โจทก์จึงไปร้องทุกข์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อำเภอปราสาทเมื่อเดือนธันวาคม 2527 พนักงานเจ้าหน้าที่ได้เรียกโจทก์จำเลยไปทำความตกลงกัน แต่ไม่อาจตกลงกันได้ การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิการครอบครองของโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทตามแผนที่ท้ายฟ้องเป็นของโจทก์และโจทก์มีสิทธิครอบครอง และบังคับให้จำเลยรับเงินจำนวน 2,300 บาทไปจากโจทก์ และไปทำการจดทะเบียนสิทธิให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยกับห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาทต่อไป
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดิน 1 แปลง และว่าที่ดินดังกล่าวโจทก์ซื้อมาจากจำเลย แต่ยังไม่ได้โอน โจทก์จึงมิใช่ผู้มีสิทธิครอบครอง จำเลยไม่สามารถเข้าใจฟ้องได้ดี ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุมจำเลยไม่เคยทำสัญญาขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ สัญญาดังกล่าวโจทก์กับพวกร่วมกันปลอมขึ้น ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่นาจำเลยซึ่งมีเนื้อที่ 14 ไร่ 2 งาน 58 ตารางวา ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ท้ายคำให้การ เมื่อปีพ.ศ. 2515 จำเลยขายที่ดินให้แก่โจทก์เป็นเงิน 8,000 บาท โจทก์ชำระเงินให้แก่จำเลย 900 บาท และตกลงกันว่าเมื่อชำระครบจะโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ ได้ทำสัญญาซื้อขายกันไว้ 1 ฉบับ โดยจำเลยเป็นผู้ทำสัญญาดังกล่าวมีตัวพิมพ์บางส่วนและตัวเขียนด้วยลายมือจำเลยบางส่วน แต่จำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้ขายเพราะโจทก์ยังชำระเงินไม่ครบ โจทก์ได้ยึดสัญญาดังกล่าวไว้ และจำเลยได้มอบที่พิพาทให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในปี พ.ศ. 2516ปีต่อ ๆ มาโจทก์ไม่ชำระค่าซื้อขายที่พิพาท จำเลยทวงถาม โจทก์ผัดผ่อนทุกปีต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2523 จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาและขับไล่โจทก์พร้อมบริวารออกไปจากที่พิพาท และเข้าครอบครองทำประโยชน์โดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 1 ปีแล้วไม่มีผู้ใดคัดค้าน จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยไปโอนที่พิพาท และหลังจากจำเลยบอกเลิกสัญญาและขับไล่โจทก์ออกไปจากที่พิพาท โจทก์ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องจนกระทั่งปีพ.ศ.2527 โจทก์กับพวกร่วมกันปลอมแปลงเอกสารขึ้นและนำไปร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เพื่อกลั่นแกล้งจำเลย และโจทก์ฟ้องหลัง 1 ปี นับแต่วันที่มีการโต้แย้งสิทธิคดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามน.ส.3 เลขที่ 519 ตามเอกสารหมาย ล.3 เฉพาะส่วนที่พิพาทตามรูปแผนที่พิพาทให้แก่โจทก์ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันพิพากษาแล้วรับเงินจำนวน 2,300 บาท จากโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ในปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า 1 แปลง เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2515 จำเลยได้ตกลงขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์เป็นเงิน 3,800 บาท ในวันทำสัญญาซื้อขายโจทก์ได้ชำระเงินค่ามัดจำจำนวน 1,500 บาทให้จำเลยแล้ว คงค้างชำระอีก 2,300 บาท จำนวนเงินที่ค้างชำระจำเลยจะขอรับเอาเมื่อจำเลยได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์เสร็จและในระหว่างที่ยังไม่ได้ทำนิติกรรมโอนให้แก่โจทก์ จำเลยได้มอบที่ดินซึ่งซื้อขายให้แก่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าว โจทก์ได้บรรยายถึงการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองของโจทก์ในที่ดินตามฟ้องว่าได้มาอย่างไรโดยละเอียดและแจ้งชัดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมและวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย ฟังได้ว่าจำเลยตกลงจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.1 ส่วนปัญหาว่าโจทก์ฟ้องเรียกที่พิพาทคืนเกินกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายหรือไม่ได้ความว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1ซึ่งเป็นสัญญาจะซื้อขาย โจทก์จึงครอบครองที่พิพาทแทนจำเลยจำเลยมีสิทธิที่จะเข้าครอบครองที่พิพาทเมื่อใดก็ได้ เมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทก็เป็นการเข้าครอบครองที่ของตนเอง หาใช่เป็นการแย่งการครอบครองไม่ จึงจะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 มาใช้บังคับเกี่ยวกับคดีนี้หาได้ไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share