คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3901/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาตกลงกับโจทก์ให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพิ่มจากร้อยละ 12.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 15 ต่อปี และร้อยละ18 ต่อปี แม้เป็นการเพิ่มดอกเบี้ยย้อนหลัง แต่ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาในทางแพ่งซึ่งทำขึ้นระหว่างธนาคารโจทก์กับจำเลยอันเป็นคู่สัญญา มิได้มีผลผูกพันถึงบุคคลภายนอก ทั้งวัตถุประสงค์ของสัญญาก็ไม่ต้องห้ามโดยกฎหมาย ดังนี้ สัญญาดังกล่าวใช้บังคับได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์ สาขาเยาวราช วงเงิน 2,000,000 บาท โดยยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ 12.5 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกวันที่ 1 ของเดือน และยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามประเพณีทางการค้าของโจทก์และตกลงใช้บัญชีเลขที่ 13777 เป็นบัญชีเดินสะพัดต่อมาวันที่ 17 มิถุนายน 2523 จำเลยตกลงให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2522 จนถึงวันที่ 15มกราคม 2523 เป็นต้นไปได้มีการต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีออกไป 2 ครั้ง ครั้งสุดท้ายถึงวันที่ 11 กรกฎาคม 2524กับได้รับรองยอดหนี้ว่า เพียงวันที่ 29 สิงหาคม 2523 จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 2,059,287.16 บาท เพื่อเป็นประกันหนี้ดังกล่าวจำเลยได้จำนองที่ดินไว้กับโจทก์เป็นเงิน 900,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 12.5 ต่อปี และจำนองเครื่องจักร 13 เครื่อง ไว้กับโจทก์ 2 ครั้ง ครั้งแรก 1,100,000 บาท และครั้งที่สอง200,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 12.5 ต่อปี ทั้งสองครั้ง หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอใช้หนี้จำเลยยอมรับผิดใช้หนี้ให้โจทก์จนครบ ตั้งแต่ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแล้วจำเลยเบิกเงินและนำเงินเข้าบัญชีหลายครั้งเพียงวันที่ 23 พฤษภาคม 2526จำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย 3,256,239.21 บาทโจทก์ทวงถามและแจ้งการบังคับจำนองไปยังจำเลยแล้ว จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 3,256,239.21 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาด หากขายทอดตลาดได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาด เอาเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า ฟ้องเคลือบคลุม เพราะไม่ได้บรรยายให้เห็นว่า หนี้ตามฟ้องมีมูลหนี้จากอะไร จำเลยรับเงินจากโจทก์เมื่อใด จำนวนเท่าใด จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 เป็นเอกสารปลอม จำเลยไม่เคยยินยอมให้คิดดอกเบี้ยตามที่โจทก์กล่าวอ้าง และไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามและแจ้งการบังคับจำนอง หากจะมีหนังสือทวงถามและแจ้งบังคับจำนองก็เป็นหนังสือที่ออกโดยผู้ไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน2,174,800.86 บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้น และดอกเบี้ยธรรมดาไม่ทบต้น หากไม่ใช้ให้ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้แก่โจทก์ หากขายทอดตลาดได้เงินไม่พอใช้หนี้ ให้จำเลยรับผิดใช้หนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินจำนวน1,997,411.58 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยทบต้นทุกเดือน และดอกเบี้ยธรรมดาแบบไม่ทบต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ประเด็นที่สอง โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพิ่มจากร้อยละ 12.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 15 ต่อปี และร้อยละ 15 ต่อปี และร้อยละ 18 ต่อปี ตามข้อตกลงในเอกสารหมายจ.11 ได้หรือไม่นั้น ปรากฎตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้ยินยอมทำความตกลงกับโจทก์โดยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มตามเอกสารหมาย จ.11 จริง แต่จำเลยต่อสู้ว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นการเพิ่มดอกเบี้ยย้อนหลัง เป็นข้อตกลงที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงเป็นโมฆะ ใช้บังคับไม่ได้ ตรวจเอกสารหมาย จ.11 แล้ว เห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาในทางแพ่งซึ่งทำขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลย ซึ่งเป็นคู่สัญญาเท่านั้น มิได้มีผลผูกพันถึงบุคคลภายนอก และวัตถุประสงค์ของสัญญาก็ไม่ห้ามโดยกฎหมายแต่อย่างใด สัญญาดังกล่าวจึงใช้บังคับได้”
พิพากษายืน

Share