แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองแต่งตั้งให้โจทก์เป็นทนายความฟ้องเรียกโฉนดที่ดินคืนจากธนาคารโดยตกลงกันว่าเมื่อคดีเสร็จแล้วจำเลยทั้งสองจะชำระค่าทนายให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเงินโดยประมาณไม่เกินร้อยละ 20ของราคาที่ดินแต่ละแปลง จึงเป็นการให้สิทธิแก่ทั้งสองฝ่ายที่จะกำหนดจำนวนเงินค่าจ้างว่าความและเป็นสิทธิของจำเลยทั้งสองที่จะชำระให้ไม่เกินร้อยละ 20 ของราคาที่ดินแต่ละแปลง ข้อตกลงดังกล่าวมิได้ให้สิทธิแก่โจทก์ฝ่ายเดียวที่จะเรียกเอาค่าจ้างจากจำเลยทั้งสองในอัตราประมาณไม่เกินร้อยละ 20 แต่ประการใด เมื่อคดีเสร็จและจำเลยทั้งสองได้ชำระค่าจ้างว่าความในอัตราดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้ว ย่อมถือได้ว่าจำเลยทั้งสองชำระค่าจ้างว่าความให้โจทก์ตามข้อตกลงดังกล่าวแล้ว โจทก์จะฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความจากจำเลยทั้งสองในอัตราร้อยละ 20 ของราคาที่ดินโดยจำเลยไม่ตกลงหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้แต่งตั้งให้โจทก์เป็นทนายฟ้องเรียกโฉนดที่ดินคืนจากธนาคาร สำหรับค่าจ้างว่าความจำเลยทั้งสองได้ตกลงว่าจะชำระให้เป็นจำนวนเงินโดยประมาณร้อยละไม่เกิน 20 ของที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสองแล้ว จำเลยทั้งสองชำระค่าจ้างว่าความให้คนละ 5,000 บาท เท่านั้น ขอศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าจ้างว่าความที่ค้างชำระ 65,000 บาท และให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าจ้างว่าความที่ค้างชำระ 85,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ได้ตกลงให้โจทก์ว่าความจริง สำหรับค่าจ้างว่าความตกลงไว้เป็นเงิน 20,000 บาท เท่านั้น และจำเลยได้ชำระให้โจทก์แล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมการตกลงเรียกค่าจ้างว่าความโดยคิดเปอร์เซนต์ จากราคาที่ดินพิพาทและจะชำระให้เมื่อคดีเสร็จ เป็นข้อตกลงที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าจ้างว่าความให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 32,000 บาท และจำเลยที่ 2ชำระค่าจ้างว่าความให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 38,700 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏตามคำฟ้องว่า ค่าจ้างว่าความที่จำเลยทั้งสองแต่งตั้งให้โจทก์เป็นทนายนั้น ได้ตกลงกันว่าเมื่อคดีเสร็จแล้ว จำเลยทั้งสองจะชำระค่าทนายให้แก่โจทก์โดยชำระเป็นจำนวนเงินโดยประมาณไม่เกินร้อยละ 20 ของราคาที่ดินแต่ละแปลงซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นการให้สิทธิแก่ทั้งสองฝ่ายที่จะกำหนดจำนวนเงินค่าจ้างว่าความ และเป็นสิทธิของจำเลยทั้งสองที่จะชำระให้ไม่เกินร้อยละ 20 ของราคาที่ดินแต่ละแปลง ข้อตกลงดังกล่าวมิได้ให้สิทธิแก่โจทก์ฝ่ายเดียวที่จะเรียกเอาค่าจ้างจากจำเลยทั้งสองในอัตราประมาณไม่เกินร้อยละ 20 แต่ประการใด ปรากฏว่าเมื่อคดีเสร็จแล้วจำเลยทั้งสองได้ชำระค่าจ้างว่าความให้แก่โจทก์แล้ว ย่อมถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระค่าจ้างว่าความให้โจทก์ตามข้อตกลงดังที่โจทก์กล่าวในฟ้องแล้ว การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความจากจำเลยทั้งสองในอัตราร้อยละ 20 ของราคาที่ดินที่เรียกโฉนดคืนโดยถือว่าจำเลยที่ 1 ยังค้างชำระเป็นเงิน 65,000 บาท และจำเลยที่ 2ยังค้างชำระเป็นเงิน 85,000 บาท โดยจำเลยไม่ตกลงด้วยหาได้ไม่ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าจ้างว่าความให้แก่โจทก์จำนวน 20,000 บาทและพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน