แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ผู้คัดค้านที่ 2 จะจดทะเบียนจำนองทรัพย์ พิพาทซึ่ง เดิมเป็นของลูกหนี้ไว้กับผู้คัดค้านที่ 3 หลังลูกหนี้ถูก ฟ้องขอให้ล้มละลาย แต่ เมื่อเป็นการจดทะเบียนจำนองเพราะผู้คัดค้านที่ 2รับโอนทรัพย์พิพาทมาจากผู้คัดค้านที่ 1 จึงรับเป็นลูกหนี้จำนองแทนผู้คัดค้านที่ 1 เท่ากับการจดทะเบียนจำนองดังกล่าวมีผลสืบเนื่องมาจากภารจำนองเดิม ระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 3ซึ่ง ทำขึ้นก่อนลูกหนี้ถูก ฟ้องขอให้ล้มละลาย ถือ ไม่ได้ว่าการที่ผู้คัดค้านที่ 2 จดทะเบียนจำนองดังกล่าว เป็นการกระทำภายหลังมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย ผู้คัดค้านที่ 3 จึงได้ รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 116.
ย่อยาว
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม2523 ลูกหนี้ที่ 2 โอนขายที่ดินและตึกแถวให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1ราคา 200,000 บาท ต่อมาวันที่ 20 ธันวาคม 2527 ผู้คัดค้านที่ 1โอนขายต่อให้ผู้คัดค้านที่ 2 ราคา 250,000 บาท ในวันเดียวกันผู้คัดค้านที่ 2 จดทะเบียนจำนองไว้กับผู้คัดค้านที่ 3 ในวงเงิน240,000 บาท การโอนขายให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ทำในระหว่าง 3 ปีก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ที่ 2 ล้มละลาย เป็นการโอนโดยไม่สุจริต ส่วนการโอนและการจำนองหลังจากนั้นทำขึ้นหลังมีการขอให้ลูกหนี้ที่ 2ล้มละลาย ขอให้เพิกถอนการโอนและการจำนอง หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ให้ผู้คัดค้านทั้งสามร่วมกันใช้ราคา 250,000 บาท
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านว่ารับโอนโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่าไม่รู้จักลูกหนี้ที่ 2
ผู้คัดค้านที่ 3 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 3 ได้รับจำนองที่ดินและตึกแถวจากผู้คัดค้านที่ 1 ก่อนลูกหนี้ที่ 2 ถูกฟ้องล้มละลาย แม้ผู้คัดค้านที่ 1 จดทะเบียนโอนขายให้ผู้คัดค้านที่ 2และผู้คัดค้านที่ 2 จดทะเบียนจำนองให้ผู้คัดค้านที่ 3 ภายหลังลูกหนี้ที่ 2 ล้มละลาย ผู้คัดค้านที่ 3 ก็ได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ. ล้มละลาย ฯ มาตรา 116
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนและการจำนองตามคำร้องให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ให้ผู้คัดค้านทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
ผู้คัดค้านทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ยกคำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในส่วนของผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 เสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้ผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจะรับโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทจากผู้คัดค้านที่ 1 โดยสุจริตและมีค่าตอบแทนก็ตาม แต่เป็นการรับโอนภายหลังมีการฟ้องขอให้ลูกหนี้ที่ 2 ล้มละลาย ผู้คัดค้านที่ 2 จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ผู้ร้องจึงร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ได้ ส่วนการที่ผู้คัดค้านที่ 2จำนองที่ดินและตึกแถวพิพาทแก่ผู้คัดค้านที่ 3 สืบเนื่องมาจากผู้คัดค้านที่ 1 จำนองที่ดินและตึกแถวพิพาทไว้ตั้งแต่วันที่ 15สิงหาคม 2523 ก่อนมีการฟ้องให้ลูกหนี้ที่ 2 ล้มละลาย โดยไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 3 รับจำนองไว้โดยรู้ว่าลูกหนี้ที่ 2 มีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงเป็นการกระทำโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนเช่นกันและการจำนองดังกล่าวคงมีผลตลอดมาโดยผู้คัดค้านที่ 2 เข้ามารับเป็นลูกหนี้ด้วย การรับโอนจากผู้คัดค้านที่ 1 และรับเป็นลูกหนี้จำนองแทน จึงเป็นเพียงการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ผู้รับผิดต่อผู้คัดค้านที่ 3 เท่านั้น แม้การจำนองจะกระทำภายหลังที่ลูกหนี้ที่ 2 ถูกฟ้องขอให้ล้มละลายแล้วก็ตาม แต่ผลของการกระทำดังกล่าวมีผลสืบเนื่องมาจากการจำนองเดิมระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 3มาแต่ต้นอีกประการหนึ่ง ถึงแม้ผู้คัดค้านที่ 2 รับโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทมาแล้วจะไม่ได้จดทะเบียนจำนองแก่ผู้คัดค้านที่ 3ผู้คัดค้านที่ 2 ก็ยังคงต้องรับภาระหนี้จำนองที่มีอยู่ต่อผู้คัดค้านที่ 3 ด้วยอยู่แล้ว ดังนั้น การที่ผู้คัดค้านที่ 2 จดทะเบียนจำนองที่ดินและตึกแถวพิพาทแก่ผู้คัดค้านที่ 3 ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำภายหลังมีการขอให้ลูกหนี้ที่ 2 ล้มละลาย ผู้คัดค้านที่ 3 จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 116ผู้ร้องร้องขอเพิกถอนการจำนองระหว่างผู้คัดค้านที่ 2 และผู้คัดค้านที่ 3 ไม่ได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 ผู้โอนกับผู้คัดค้านที่ 2 ผู้รับโอนด้วย และให้กลับคืนสู่สถานะเดิม หากไม่สามารถกลับคืนสู่สถานะเดิมได้ให้ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้อง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.