คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3155/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่ดินของโจทก์ถูกล้อมจนไม่มีทางออกสู่ถนนอันเป็นทางสาธารณะได้ทั้งการออกทางด้านที่ดินของจำเลยตามแนวทางพิพาทจะทำให้จำเลยได้รับความเสียหายน้อยกว่าการออกทางด้านที่ดินของ ส.ดังนั้น การที่โจทก์ขอผ่านตามแนวทางพิพาทในที่ดินของจำเลยจึงเป็นทางที่สะดวกและเหมาะสมกับความจำเป็นกว่าทางอื่นโจทก์จึงชอบที่จะขอให้จำเลยเปิดทางผ่านตามแนวทางพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็นสำหรับให้โจทก์ใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ตามสภาพการณ์ปัจจุบันรถยนต์เป็นพาหนะที่จำต้องใช้กันโดยทั่วไป และทางพิพาทในที่ดินของจำเลยทุกตอนก็กว้าง 4 เมตรอยู่แล้วจึงเป็นการชอบที่ศาลกำหนดให้จำเลยเปิดทางพิพาทให้โจทก์กว้าง4 เมตร.

ย่อยาว

คดีทั้งห้าสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษารวมกันโดยให้เรียกนางสำรวย แซ่อ้วง นายประสิทธิ์ ประทีปอมรสุข นายสุพจน์ ประทีปอมรสุขนายวรากร จารุศิริกุล นายวุฒิชัย จารุศิริกุล นายชาญ ศรีสรรพศิริกุลและนางรัตนา อารยางกูร ว่าโจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 7 ตามลำดับคดีทั้งห้าสำนวนโจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้เปิดทางเดินทำนองเดียวกันว่าที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดตกอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะได้นอกจากผ่านทางที่ดินของจำเลยดังกล่าวเท่านั้น ต่อมาเมื่อพ.ศ. 2526 จำเลยได้ทำรั้วสังกะสีกั้นเข้ามาในทางดังกล่าวทำให้เหลือทางกว้างเพียง 75-100 เซนติเมตรตลอดแนวและทำประตูปิดทางเข้าออกทำให้โจทก์ทั้งเจ็ดไม่สามารถใช้ทางออกสู่ถนนสาธารณะท่าดินแดงโดยสะดวก โจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนรั้วและประตูแล้วแต่ก็เพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่าทางบนที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 17709ทั้งแปลงกว้าง 4 เมตร ยาวประมาณ 39 เมตร ซึ่งเลี้ยวเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 16497 และยาวลงมาทางทิศใต้ กว้าง 4 เมตร ยาวประมาณ18 เมตร แล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันตกกว้าง 4 เมตร ยาวประมาณ 11เมตร เป็นทางจำเป็น ซึ่งจำเลยต้องยอมให้โจทก์ทั้งเจ็ดใช้เป็นทางออกสู่ถนนท่าดินแดงซึ่งเป็นถนนสาธารณะ ให้จำเลยรื้อรั้วสังกะสีกับประตูออกไป หากไม่ยอมรื้อให้โจทก์ทั้งเจ็ดรื้อได้เองโดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การทำนองเดียวกันทั้งห้าสำนวนว่า ทางพิพาทที่โจทก์ทั้งเจ็ดกล่าวอ้างอยู่ในที่ดินที่มีโฉนดของจำเลยนั้น จำเลยซื้อมาจากนางสุนทรี ภูรินันทน์ เมื่อซื้อแล้วจำเลยได้ถมที่ดินดังกล่าว โจทก์ทั้งเจ็ดได้อาศัยเป็นทางเดินในภายหลัง ทางที่โจทก์ทั้งเจ็ดกล่าวอ้างไม่ใช่ทางจำเป็นเพราะโจทก์ทั้งเจ็ดยังมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้อีกทางหนึ่งคือทางซึ่งอยู่ในที่ดินของนางสาวบุญส่ง ภูรินันทน์ อันเป็นทางที่โจทก์ทั้งเจ็ดใช้เดินผ่านมานานแล้ว ก่อนที่โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยจะซื้อที่ดินส่วนของตนจากนางสุนทรี
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินของจำเลยโฉนดที่ 17709 แขวงคลองสาน(บางใส้ไก่ฝั่งเหนือ) เขตคลองสาน (บางลำภูล่าง) กรุงเทพมหานครทางด้านทิศตะวันตกตามแผนที่สังเขปเอกสารหมายเลข 4 ท้ายฟ้องกว้าง 4 เมตร ยาวตลอดแนวเป็นทางจำเป็นโจทก์ทั้งเจ็ดใช้ผ่านออกสู่ถนนสาธารณะท่าดินแดงได้ ห้ามิให้จำเลยปิดกั้นขัดขวางการใช้ทางดังกล่าว และให้จำเลยรื้อรั้วสังกะสีกับประตูที่อยู่ในทางออกไป หากไม่ยอมรื้อก็ให้โจทก์รื้อออกเองได้โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
จำเลยอุทธรณ์ทั้งห้าสำนวน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ถ้าจำเลยไม่ยอมรื้อรั้วสังกะสีและประตูดังกล่าวตามคำบังคับ โจทก์ทั้งเจ็ดชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการรื้อถอนออกไปได้ จะให้โจทก์ทั้งเจ็ดรื้อถอนเองโดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายหาได้ไม่พิพากษาแก้เป็นให้ยกคำขอในส่วนที่ให้โจทกืรื้อรั้วสังกะสีและประตูในทางพิพาทได้เองโดยให้จำเลบยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาทั้งห้าสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยนำสืบเป็นอันรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยต่างก็ซื้อที่ดินเฉพาะส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนจากนางสุนทรี ภูรินันทน์ ผู้จัดการมรดกของนายสุวรรณ ภูรินันทน์ทางพิพาทคือทางซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลย 2 แปลง นางสุนทรีได้กันทางพิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 17709 ทั้งแปลง กว้าง 4 เมตรยาวตลอดความยาวของที่ดินสำหรับให้โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยร่วมกันใช้เป็นทางออกสู่ถนนท่าดินแดง แล้วให้โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยร่วมกันวื้อไว้โจทก์ทั้งเจ็ดไม่ได้ซื้อ ส่วนจำเลบยได้ซื้อไว้ ขณะนี้ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดอยู่ในที่ล้อม ไม่มีทางออกสู่ถนนท่าดินแดงอันเป็นทางสาธารณะ
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีสิทธิขอให้เปิดทางผ่านในที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็นเพื่อออกสู่ถนนท่าดินแดงอันเป็นทางสามารณะ เพราะโจทก์ทั้งเจ็ดเคยผ่านในที่ดินของนางสาวบุญส่งภูรินันทน์ ได้นั้น เห็นว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงถนนท่าดินแดงอันเป็นทางสาธารณะได้ และทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้ง 2 แปลงดังกล่าวมาเป็นทางกว้างประมาณ 4 เมตรโดยตลอด ซึ่งถ้าหากจำเลยรื้อรั้วสังกะสีกับประตูของจำเลยที่อยู่ในทางพิพาทออกไปเพื่อให้เป็นทางออกสู่ถนนท่าดินแดง และให้โจทก์ทั้งเจ็ดใช้ทางพิพาทนี้ร่วมด้วยแล้วความเสียหายที่เกิดแก่จำเลยเพราะเหตุที่มีทางผ่านย่อมมีน้อยกว่าความเสียหายที่เกิดแก่นางสาวบุญส่ง เพราะถ้าให้เปิดทางออกทางด้านที่ดินของนางสาวบุญส่งก็จะต้องรื้อถอนรั้วคอนกรีตและโรงรถซึ่งอยู่ถัดจากรั้วคอนกรีตออกไปซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายแก่นางสาวบุญส่งมากกว่าการรื้อรั้วสังกะสีกับประตูของจำเลย ทั้งมูลเหตุสำคัญที่จำเลยทำรั้วสังกะสีกั้นเข้ามาในทางพิพาทน่าเชื่อว่า เป็นเพราะจำเลยแต่ผู้เดียวที่ยอมซื้อทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่17709 อันเป็นทางพิพาทส่วนหนึ่งที่นางสุนทรีกันไว้สำหรับให้โจทก์จำเลยร่วมกันใช้เป็นทางออกสู่ถนนท่าดินแดง ส่วนโจทก์ทั้งเจ็ดไม่ได้ร่วมซื้อด้วย ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งเจ็ดมีสิทธิผ่านที่ดินนางสาวบุญส่ง โดยชอบด้วยกฎหมายประการใด ดังนั้น เมื่อเกิดความจำเป็นเนืองจากที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดถูกล้อม จนไม่มีทางออกสู่ถนนท่าดินแดงอันเป็นทางสาธารณะได้ ทั้งการออกทางด้านที่ดินของจำเลยตามแนวทางพิพาทจะทำให้จตำเลยได้รับความเสียหายน้อยกว่าการออกทางด้านที่ดินของนางสาวบุญส่ง ดังนั้น การที่โจทก์ทั้งเจ็ดขอผ่านตามแนวทางพิพาทในที่ดินของจำเลยจึงเป็นทางที่สะดวกและเหมาะสมกับความจำเป็นกว่าทางอื่น โจทก์ทั้งเจ็ดจึงชอบที่จะขอให้จำเลยเปิดทางผ่านตามแนวทางพิพาทในที่ดินของจำเลยที่ 2 แปลงดังกล่าวเป็นทางจำเป็นสำหรับให้โจทก์ทั้งเจ็ดใช้เป็นทางออกสู่ถนนท่าดินแดงอันเป็นทางสาธารณะได้
ที่จำเลยฎีกาว่า ทางผ่านตามแนวทางพิพาทในที่ดินของจำเลยซึ่งศาลล่างทั้งสองกำหนดให้เป็นทางจำเป็นกว้าง 4 เมตรเกินความจำเป็นของโจทก์ทั้งเจ็ดและทำให้จำเลยเสียหายมาก ทั้งการที่จำเลยได้เปิดทางผ่านตามแนวทางพิพาทให้โจทก์ทั้งเจ็ดผ่านในที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 17709 กว้างประมาณ 1 เมตร และในที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 16497 กว้างประมาณ 75 เซนติเมตร เป็นการพอสมควรแก่ความจำเป็นของโจทก์ทั้งเจ็ดแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าทางผ่านตามแนวทางพิพาทซึ่งจำเลยได้เปิดไว้กว้าง 1 เมตร และ 75 เซนติเมตรนั้น ไม่เพียงพอแก่การใช้สอยที่โจทก์ที่ 1 ที่ 6 และที่ 7 จะนำรถยนต์เข้าไปในที่ดินของตนได้ ซึ่งตามสภาพการณ์ทุกวันนี้รถยนต์เป็นพาหนะที่จำต้องใช้กันโดยทั่วไป และทางพิพาทในที่ดินของจำเลยทุกตอนก็กว้าง 4 เมตรอยู่แล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยเปิดทางพิพาทให้โจทก์กว้าง 4 เมตร นั้น เหมาะสมแล้ว…”
พิพากษายืน.

Share