คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3046/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อเอกสารที่ใช้ในการวินิจฉัยคดีรวมอยู่ในสำนวนคดีที่จำเลยระบุอ้างเป็นพยานเอกสารนั้นจึงเข้าสู่สำนวนความของศาลโดยถูกต้องการที่ศาลจะฟังและเชื่อพยานหลักฐานในส่วนไหนอย่างไรในสำนวนเป็นดุลพินิจของศาล ไม่จำเป็นว่าคู่ความที่ได้รับประโยชน์จากเอกสารนั้นจะต้องเป็นฝ่ายระบุอ้างและนำเข้าสู่สำนวนความ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 17,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จำเลยชำระเงินจำนวน 17,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลล่างทั้สองรับฟังเอกสารหมาย จ.5 ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 286/2528 คดีระหว่าง นายไพศาล ชีวะอิสระกุล โจทก์ นายสุทัศน์ ทิศคำนวณ จำเลยคดีของศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์ทราบดีว่าโจทก์มีเอกสารหมาย จ.5 ไว้ในครอบครองของโจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้ระบุอ้างพยานเอกสารดังกล่าวนี้ไว้ในบัญชีระบุพยานของโจทก์ในคดีนี้เป็นการเอาเปรียบจำเลยในการดำเนินคดี ศาลล่างทั้งสองรับฟังเอกสารดังกล่าวจึงไม่ชอบ นั้นเห็นว่า จำเลยเป็นผู้ระบุอ้างสำนวนคดีแพ่งดังกล่าวพร้อมทั้งสรรพเอกสารในสำนวนเป็นพยานศาลชั้นต้นอนุญาตและให้นำสืบสำนวนคดีแพ่งดังกล่าวรวมไว้พิจารณาในคดีนี้แล้ว ดังนั้นเอกสารหมาย จ.5 จึงเข้าสู่สำนวนของศาลโดยถูกต้อง การที่ศาลล่างทั้งสองจะฟังและเชื่อพยานหลักฐานในส่วนไหนอย่างไรในสำนวนเป็นดุลพินิจของศาลโดยไม่จำเป็นว่าเอกสารดังกล่าวโจทก์จะต้องเป็นฝ่ายระบุอ้างและนำเข้าสู่สำนวนของศาลถือว่าเป็นการรับฟังจากพยานหลักฐานของคู่ความในสำนวนนั่นเองศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share