คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2599/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องเป็นจำเลยที่ 2 ได้ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ว่าผู้ร้องมิได้เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาและคดีถึงที่สุดแล้วคำพิพากษาดังกล่าวจึงย่อมผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ด้วย ฉะนั้น เมื่อโจทก์นำสืบคดีข้างต้นฟังได้แน่ชัดว่า จำเลยที่ 2 รู้เห็นและร่วมด้วยในการที่จำเลยที่ 1กู้ยืมเงินไปจากโจทก์หลายครั้ง จนน่าเชื่อว่าทรัพย์ที่ถูกโจทก์บังคับคดีนั้นส่วนหนึ่งเป็นเงินจากการกู้ยืมจากโจทก์นั่นเอง แต่โจทก์นำสืบไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเหตุที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ 2 ดังนี้ในชั้นร้องขอกันส่วน ผู้ร้องคือจำเลยที่ 2 จะกลับอ้างว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 คำให้การในฐานะเป็นจำเลยที่ 2จึงขัดกับคำร้องขอกันส่วน ผู้ร้องจึงร้องขอกันส่วนทรัพย์ที่ถูกบังคับคดีรายนี้ไม่ได้.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน235,473 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม แต่ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดบ้านเลขที่ 977 หมู่ที่ 12 ตำบลหนองมะค่าโมง อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี และรถยนต์ปิกอัพหมายเลขทะเบียน น-1843 ชัยนาทรวมราคา 220,000 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 บ้านที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ปลูกสร้างขึ้นด้วยเงินที่ทำมาหาได้ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 กับผู้ร้องอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา ส่วนรถยนต์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้ร้อง ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและรถยนต์ดังกล่าวกึ่งหนึ่ง ขอให้กันส่วนของผู้ร้องออกจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง
โจทก์คัดค้านว่า หนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระตามคำพิพากษาเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการประกอบอาชีพทำไร่อ้อยที่จำเลยที่ 1 กับผู้ร้องซึ่งเป็นสามีภริยาทำด้วยกันจึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยที่ 1กับผู้ร้อง ผู้ร้องต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการชำระหนี้ตามคำพิพากษา ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดไต่สวนคำร้องแล้ววินิจฉัยว่าการที่ผู้ร้องมาขอกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ถูกยึดไว้ดังกล่าวนั้นเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วน ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องต่อไป แล้วสั่งใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ผู้ร้องเป็นจำเลยที่ 2 ได้ให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ไว้ว่าผู้ร้องไม่เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1และคำพิพากษาศาลชั้นต้นถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาศาลชั้นต้นย่อมผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ด้วย โจทก์นำสืบฟังได้แน่ชัดว่าผู้ร้องรู้เห็นด้วยในการที่จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินไปจากโจทก์หลายครั้งเพื่อนำมาใช้จ่ายในการทำไร่อ้อยซึ่งจำเลยที่ 1 กับผู้ร้องได้ร่วมกันทำ และในการกู้ยืมเงินไปจากโจทก์ทุกครั้ง จำเลยที่ 1 กับผู้ร้องจะมีสมุดมาให้ฝ่ายโจทก์ลงรายการไว้เป็นหลักฐานเพื่อใช้คิดบัญชีหนี้สินกันและไม่ปรากฏว่าผู้ร้องประกอบอาชีพอย่างอื่น หรือมีรายได้พอที่จะซื้อบ้านและรถยนต์ที่ถูกยึดมาได้ จึงเชื่อได้ว่าเงินที่นำมาใช้จ่ายในการปลูกสร้างบ้านและซื้อรถยนต์ที่ถูกโจทก์บังคับคดีนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 กู้ยืมไปจากโจทก์หลายครั้งนั้นเอง แต่โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 คือผู้ร้องเป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 จึงยกฟ้องจำเลยที่ 2 ในชั้นร้องขอกันส่วน ผู้ร้องกลับอ้างว่าผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 โดยมีสำเนาใบสำคัญการสมรสมาแสดงคำให้การของผู้ร้องในฐานะจำเลยที่ 2 จึงขัดกันกับคำร้องขอกันส่วนประกอบกับข้อเท็จจริงดังกล่าวมา ที่ศาลชั้นต้นให้งดไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งให้ยกคำร้องนั้นชอบแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องตามคำสั่งศาลชั้นต้น.

Share