แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์ฎีกาของจำเลยแล้วเห็นว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งหมด คดีนี้เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่าง และลงโทษจำเลยจำคุก 3 เดือนปรับ 2,000 บาท รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายหลายประเด็นกล่าวคือ ปัญหาที่ว่ากรมธนารักษ์นำเอาที่พิพาทไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ เป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 และพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 หรือไม่ นางโป๊ะพุ่มแย้ม เป็นผู้เสียหายตามกฎหมายหรือไม่ และการกระทำของจำเลยดังที่โจทก์ได้บรรยายมาในฟ้องและจากข้อเท็จจริงอันยุติแล้ว เป็นความผิดฐานบุกรุกหรือไม่ กับประเด็นที่ว่า ที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุ นั้น เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่คลาดเคลื่อนจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365 จำคุก 3 เดือน ปรับ 2,000 บาท เนื่องจากจำเลยมีอายุถึง 67 ปี และไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี ฯลฯ
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 98)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 99)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติแล้วว่าที่พิพาทเป็นที่ดินราชพัสดุ จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องย้อนกลับไปวินิจฉัยว่า กรมธนารักษ์นำเอาที่พิพาทไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ เป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 และพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518ตามที่จำเลยฎีกาหรือไม่ ฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย สำหรับปัญหาที่ว่า นางโป๊ะพุ่มแย้ม เป็นผู้เสียหายหรือไม่นั้นศาลล่างทั้งสองก็ฟังว่า นางโป๊ะพุ่มแย้ม เป็นผู้เสียหายแล้วการที่จำเลยโต้เถียงว่าไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงเป็นฎีกาโต้เถียงปัญหาข้อเท็จจริง และปัญหาที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานบุกรุกหรือไม่นั้น ศาลล่างทั้งสองก็ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กระทำการอันเป็นความผิดฐานบุกรุก จึงเป็นฎีกาโต้เถียงปัญหาข้อเท็จจริงอีกเช่นกัน ส่วนปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองรับฟังว่า ที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุเป็นการรับฟังพยานหลักฐานคลาดเคลื่อนจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าเมื่อความจริงศาลล่างทั้งสองมิได้รับฟังพยานหลักฐานคลาดเคลื่อนจากพยานหลักฐานในสำนวนแต่ประการใด จึงเป็นการคัดค้านข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาศาลชั้นต้นไม่รับฎีกา ชอบแล้วยกคำร้อง