แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ได้ส่งเหล็กเส้นให้จำเลยตามจำนวนและคุณลักษณะตามสัญญาแล้ว จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินให้โจทก์ตามสัญญา แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์ได้ทวงถามจำเลยแล้ว ดังนี้ โจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินนับตั้งแต่วันผิดนัดจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 วางเงินต่อศาล.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาซื้อเหล็กเส้นราคา 239,759.52 บาท จากโจทก์ จำเลยทั้งสองได้รับเหล็กเส้นแล้วแต่ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเหล็กเส้นพร้อมดอกเบี้ยและให้คืนหนังสือค้ำประกันของธนาคารที่โจทก์มอบให้เป็นประกันแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ส่งมอบเหล็กเส้นเกินกำหนดจึงต้องถูกปรับ ตามสัญญาต้องมีการตรวจทดลองเหล็กเส้น เมื่อได้ผลถูกต้องตามสัญญาแล้ว จึงจะมีผลให้การตรวจรับของคณะกรรมการตรวจรับพัสดุสมบูรณ์และเบิกจ่ายเงินให้โจทก์ได้ราคาเหล็กเส้นหักด้วยภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่ายตามกฎหมายและค่าปรับแล้วเหลือ 209,811.37บาท ตามประเพณีการซื้อขายสินค้าระหว่างส่วนราชการกับพ่อค้าเป็นที่ยอมรับกันทั่งไปว่า ระหว่างที่ส่วนราชการดำเนินการเบิกเงินเพื่อจ่าย พ่อค้าไม่คิดดอกเบี้ยกับส่วนราชการ จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ระหว่างพิจารณา วันที่ 27 ธันวาคม 2527 จำเลยที่ 1 วางเงิน209,811.37 บาท ต่อศาลชั้นต้น โดยยอมให้โจทก์รับเงินจำนวนดังกล่าวไปได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 209,811.37 บาทและคืนหนังสือค้ำประกันของธนาคารแก่โจทก์ ยกคำขออื่น และยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 209,811.37 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2527 แก่โจทก์ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที24 กรกฏาคม 2527 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาซื้อเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตชนิดเหล็กเส้นกลมจากโจทก์จำนวน 34,251.36 กิโลกรัม ราคา 239,759.52 บาท โดยโจทก์จะต้องส่งมอบเหล็กเส้นดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ภายในวันที่ 4 สิงหาคม2527 โจทก์ส่งมอบเหล็กเส้นให้จำเลยที่ 1 รับไว้ครบถ้วนแล้วเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2527 เนื่องจากโจทก์ส่งมอบเหล็กเส้นเกินกำหนดเวลาตามสัญญาโจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 ปรับเป็นเงิน 27,550.55 บาทเมื่อหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและค่าปรับแล้วจำเลยที่ 1 จะต้องชำระเงินตามสัญญา 209,811.37 บาท จำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คธนาคารแห่งประเทศไทย สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือลงวันที่ 14 ธันวาคม2527 จำนวนเงิน 209,811.37 บาท สั่งจ่ายให้แก่โจทก์และได้มีหนังสือให้โจทก์ไปรับเงินจำนวนดังกล่าว โจทก์ไม่ไปรับเฉพาะได้ยื่นฟ้องคดีนี้แล้ว ต่อมาวันที่ 27 ธันวาคม 2527 จำเลยที่ 1 จึงได้วางเงินจำนวน 209,811.37 บาท ต่อศาลชั้นต้นโดยยอมให้โจทก์รับไปได้
พิเคราะห์แล้ว ข้อที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกา มีว่าจำเลยที่ 1 จะต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน209,811.37 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2527แก่โจทก์หรือไม่ โจทก์เบิกความว่า ตามสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จะถือว่าโจทก์ส่งมอบสินค้าถูกต้องตามสัญญาก็ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ตรวจสอบคุณลักษณะเฉพาะของสินค้าแล้วเห็นว่าถูกต้อง จำเลยที่ 1 นำสืบว่า เมื่อได้รับมอบเหล็กเส้นจากโจทก์แล้ว ได้ตัดเหล็กเส้นเป็นตัวอย่างส่งไปตรวจที่กองวิจัยและทดลอง กรมชลประทาน ซึ่งผลการทดสอบได้ความว่ามีคุณลักษณะถูกต้องตามสัญญา และจำเลยที่ 2 เบิกความรับว่า ได้รับทราบผลการตรวจคุณลักษณะดังกล่าวเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2527 ดังนั้น จึงต้องถือว่าโจทก์ได้ส่งเหล็กเส้นให้จำเลยที่ 1 ตามจำนวนคุณลักษณะตามสัญญาแล้วตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2527 จำเลยที่ 1 มีหน้าที่จะต้องชำระเงินให้โจทก์ตามสัญญา แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ปัญหามีว่าโจทก์ได้ทวงถามแล้วหรือไม่ นางสาวเปียร์นภา นภาภินันท์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างโจทก์เบิกความว่า ได้ทวงถามค่าสินค้าจากจำเลยที่ 1 หลายครั้ง แต่ไม่ได้รับชำระ จำเลยที่ 1 มิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้ทวงถามจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไป ในต้นเงิน 209,811.37 บาท นับตั้งแต่วันผิดนัดจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 วางเงินต่อศาลชั้นต้นคือวันที่27 ธันวาคม 2527 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 209,811.37 บาทนับตั้งแต่วันฟ้องไปจนถึงวันที่ 27 สิงหาคม 2527 แก่โจทก์นั้นเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 อยู่แล้ว”
พิพากษายืน.