คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2537/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำฟ้องหาจำต้องระบุว่าจำเลยได้สั่งจ่ายเช็ค มอบให้แก่โจทก์เมื่อใด เป็นค่าอะไร สิ่งของนั้นจำนวนเท่าใด ไม่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าแก่โจทก์ จำเลยได้รับสินค้าที่สั่งซื้อจากโจทก์แล้วจำเลยฎีกาว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์เพื่อค้ำประกันการชำระหนี้ ไม่ใช่ออกให้เพื่อชำระหนี้ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและสินค้าที่โจทก์ส่งให้ก็ใช้ไม่ได้ จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง เพื่อไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามเช็คพิพาท เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่าการที่ ศ. ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ว่าความอย่างทนายความนั้น เป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบข้อที่ได้จากการที่ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ถามค้านพยานจำเลยไว้จึงรับฟังไม่ได้ และศาลอุทธรณ์ก็มิได้รับฟัง จำเลยฎีกาเพียงว่าการกระทำของ ศ. ไม่มีผลตามกฎหมาย และอ้างว่าได้แถลงคัดค้านไว้แล้ว แต่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชัดแจ้งว่าในข้อนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายไม่ถูกต้องอย่างไร หรือวินิจฉัยอย่างไรจึงจะถูกต้องเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับจำนวน 34,760 บาทท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่าจำเลยจ่ายเช็คค้ำประกันการซื้อสินค้า เช็คตามฟ้องทั้งสองฉบับจึงไม่มีมูลหนี้ หนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ เอกสารท้ายฟ้องโจทก์บางฉบับเป็นภาษาต่างประเทศใช้เป็นพยานหลักฐานในศาลไม่ได้ และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 34,760 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาขึ้นสู่ศาลฎีกา 3 ข้อ คือ
1. ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
2. เช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นเช็คออกเพื่อชำระหนี้ หรือเป็นเช็คค้ำประกันการชำระหนี้
3. นายศิริวัฒน์ ภู่ไหมทอง ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ได้ว่าความอย่างทนายความ การกระทำของนายศิริวัฒน์มีผลตามกฎหมายหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ในปัญหาข้อ 1. ที่ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ออกเช็คธนาคารทหารไทย จำกัดสาขาสุราษฎร์ธานี จำนวน 2 ฉบับ ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2527 และ27 มกราคม 2528 จำนวนเงิน 20,000 บาท และ 14,760 บาท ตามลำดับเพื่อชำระหนี้โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำเช็คเข้าบัญชีเงินฝากเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จึงขอให้บังคับจำเลยใช้เงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ ดังนี้ เห็นว่าโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว หาจำเป็นต้องระบุว่าจำเลยได้จ่ายเช็ค (เขียนเช็คมอบให้โจทก์) เมื่อใด เป็นค่าอะไร สิ่งของนั้นจำนวนเท่าใด ดังที่จำเลยฎีกาไม่ คำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ในปัญหาข้อ 2 ที่ว่าเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นเช็คออกเพื่อชำระหนี้ หรือค้ำประกันการชำระหนี้นั้น ปรากฏว่า จำนวนหนี้ที่โจทก์เรียกร้องตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับ เป็นเงิน 34,760 บาท คดีนี้จึงเป็นคดีซึ่งมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และไม่มีเหตุที่จะเข้าขอยกเว้นให้ฎีกาได้แต่ประการใด จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ในข้อนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าบังตาประตูเหล็กแก่โจทก์ จำเลยได้รับสินค้าที่สั่งซื้อจากโจทก์แล้ว โจทก์จึงนำเช็คที่จำเลยออกให้ไปเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยฎีกาว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยออกให้โจทก์เพื่อค้ำประกันการชำระหนี้ค่าบังตาประตูเหล็กที่จำเลยสั่งซื้อจากโจทก์ไปจำหน่ายไม่ใช่ออกให้เพื่อชำระหนี้ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและบังตามที่โจทก์ส่งให้ก็ใช้ไม่ได้ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เป็นการฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามเช็คพิพาท จึงเป็นการฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่กล่าวแล้วที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาข้อนี้มาด้วยหาชอบไม่ ฉะนั้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนในปัญหาข้อ 3 ที่ว่า นายศิริวัฒน์ ภู่ไหมทองผู้รับมอบอำนาจขอโจทก์ได้ว่าความอย่างทนายความ จะมีผลตามกฎหมายหรือไม่นั้น ข้อนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่า การที่นายศิริวัฒน์ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ว่าความอย่างทนายความนั้นเป็นกระบวนพิจารณาไม่ชอบ ข้อที่ได้จากการที่ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ถามค้านพยานจำเลยไว้จึงรับฟังไม่ได้ และศาลอุทธรณ์ก็มิได้รับฟัง จำเลยฎีกาเพียงว่า การกระทำของนายศิริวัฒน์ไม่มีผลตามกฎหมาย และอ้างว่าได้แถลงคัดค้านไว้แล้วตามคำคัดค้านลงวันที่ 23 เมษายน 2527 แต่มิได้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชัดแจ้งว่าในข้อนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายไม่ถูกต้องอย่างไรหรือวินิจฉัยอย่างไรจึงจะถูกต้อง เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาข้อนี้มาด้วยหาชอบไม่ ฉะนั้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน.

Share