แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การจำเลยและสั่งให้ออกหมายกำหนดวันนัดสืบพยานส่งให้โจทก์ทราบเพียงฝ่ายเดียว ส่วนบันทึกกำหนดวันสืบพยานที่เจ้าหน้าที่ศาลได้ ลงไว้ท้ายคำให้การก็ปรากฏหลักฐานลายเซ็นของทนายโจทก์รับทราบกำหนดนัดสืบพยานแต่ เพียงฝ่ายเดียวไม่ปรากฏว่าทนายจำเลยได้ ลงชื่อรับทราบกำหนดวันนัดสืบพยานดังกล่าวด้วย และลายเซ็นทนายจำเลยที่ลงไว้ข้างท้ายหมายเหตุคำให้การที่มีข้อความว่าข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้า ไม่รอให้ถือ ว่าทราบแล้วก็คงถือ เป็นเพียงหลักฐานการรับทราบคำสั่งศาลในการพิจารณาสั่งเกี่ยวกับคำให้การจำเลยที่ยื่นต่อ ศาลเท่านั้น ทั้งในการสั่งรับคำให้การของจำเลย ศาลก็มิได้ระบุวันนัดสืบพยานโจทก์ไว้ประการใด กรณีเป็นไปได้ ว่าเจ้าหน้าที่ศาลอาจลงกำหนดวันนัดสืบพยานหลังจากได้ รับเอกสารคำให้การจากทนายจำเลยไว้แล้ว การที่ศาลชั้นต้นมิได้ออกหมายกำหนดวันสืบพยานสั่งให้จำเลยทราบ และมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาโดย ให้ดำเนิน คดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวจึงเป็นการดำเนิน กระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 184,202.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทและให้จำเลยชดใช้เงินค่าตอบแทนในการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจำนวน 1,000 บาท และค่าเสียหายปีละ 1,000 บาทแก่โจทก์ นับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ พ.ศ. 2496ถึงปัจจุบันซึ่งเป็นการแย่งการครอบครองเกิน 1 ปี โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกการครอบครองคืน ค่าเสียหายไม่ถึงปีละ 1,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ ฝ่ายจำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยขาดนัดพิจารณาและทำการพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทต่อไป ให้จำเลยใช้เงิน 1,000 บาท แก่โจทก์ และใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ปีละ 1,000 บาท นับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2529เป็นต้นไป จนกว่าจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินไปฝ่ายเดียวหลังจากได้มีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและจำเลยได้คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวทั้งในชั้นอุทธรณ์และฎีกาโดยลำดับว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เนื่องจากทนายจำเลยมิได้ทราบวันกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ และศาลยังมิได้ออกหมายแจ้งกำหนดวันนัดสืบพยานให้จำเลยทราบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 184 จึงมีข้อพิจารณาประการแรกว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตามที่จำเลยคัดค้านหรือไม่พิเคราะห์แล้ว ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นคำให้การเมื่อวันที่ 29กรกฎาคม 2529 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับคำให้การจำเลย แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายกำหนดวันนัดสืบพยานส่งให้โจทก์ทราบเพียงฝ่ายเดียวมิได้ส่งให้จำเลยทราบนัดด้วย ส่วนบันทึกกำหนดวันสืบพยานที่เจ้าหน้าที่ศาลได้ลงไว้ท้ายคำให้การซึ่งมีข้อความว่า นัดสืบพยานโจทก์ 26 สิงหาคม 2529 เวลา 9 นาฬิกา ก็ปรากฏหลักฐานลายเซ็นของทนายโจทก์รับทราบกำหนดนัดสืบพยานแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ปรากฏว่าทนายจำเลยได้ลงชื่อรับทราบกำหนดวันนัดสืบพยานดังกล่าวด้วยอันจะถือเป็นหลักฐานว่าได้มีการแจ้งกำหนดนัดวันสืบพยานให้จำเลยทราบแล้วตามนัยแห่งบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 75,77(2) และลายเซ็นทนายจำเลยที่ลงไว้ข้างท้ายหมายเหตุคำให้การที่มีข้อความว่า ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้วก็คงถือเป็นเพียงหลักฐานการรับทราบคำสั่งศาลในการพิจารณาสั่งเกี่ยวกับคำให้การจำเลยที่ยื่นต่อศาลเท่านั้น ทั้งในการสั่งรับคำให้การของจำเลย ศาลก็มิได้ระบุวันนัดสืบพยานโจทก์ไว้แต่ประการใดดังนั้น กรณีเป็นไปได้ว่าเจ้าหน้าที่ศาลอาจลงกำหนดนัดวันสืบพยานหลังจากได้รับเอกสารคำให้การจากทนายจำเลยไว้แล้ว ดังจะเห็นได้จากที่เขียนคำว่าทนายโจทก์และทนายจำเลยไว้ใต้ข้อความนั้น ทั้งนี้เพื่อจัดให้ทนายโจทก์จำเลยได้รับทราบวันนัดสืบพยานต่อไป เมื่อเจ้าหน้าที่ศาลกำหนดวันสืบพยานในคำให้การจำเลย โดยให้ทนายโจทก์ทราบฝ่ายเดียว แต่มิได้ให้ฝ่ายจำเลยรับทราบวันนัดดังกล่าวไว้จึงน่าเชื่อว่าจำเลยไม่ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมิได้ออกหมายกำหนดวันสืบพยานส่งให้จำเลยทราบ และมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาโดยให้ดำเนินคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 184, 202 ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยข้ออื่น ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่โดยแจ้งกำหนดวันนัดสืบพยานส่งให้คู่ความทราบแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป.