คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2454/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกไปยัง อ. ซึ่ง เป็นผู้ยื่นรายการเสียภาษีเพื่อจะทำการตรวจสอบไต่สวนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของ อ. แต่ ก่อนที่เจ้าพนักงานประเมินจะทำการตรวจสอบไต่สวนเสร็จและแจ้งการประเมินไปให้ อ. ทราบ อ. ได้ถึง แก่ความตายเสียก่อน เจ้าพนักงานประเมินย่อมมีอำนาจที่จะดำเนินการตรวจสอบไต่สวนโจทก์ซึ่ง เป็นภรรยาของ อ. ในฐานะ ทายาทและผู้จัดการมรดกของ อ. เกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของ อ.แล้วแจ้งการประเมินให้โจทก์ทราบ ในชั้น อุทธรณ์ต่อ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์ยอมรับว่าโจทก์มีหน้าที่และความรับผิดที่จะต้อง เสียภาษีเงินได้ของ อ.แต่ เพื่อความเป็นธรรมให้ปรับปรุงวิธีคำนวณภาษีใหม่ได้ ผลประการใดโจทก์ยินยอมชำระภาษีโดย ไม่โต้แย้ง คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์อนุโลมใช้ วิธีคำนวณตาม ที่โจทก์ขอแล้วมีคำวินิจฉัยไปตาม นั้น ดังนี้โจทก์จะอุทธรณ์ต่อ ศาลว่าคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ชอบขอให้ศาลเพิกถอนอีกไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นทายาทโดยธรรมและเป็นผู้จัดการมรดกของนายอนันต์ขณะที่นายอนันต์มีชีวิต เจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกมายังนายอนันต์เพื่อทำการตรวจสอบไต่สวนการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ระหว่างการตรวจสอบไต่สวนนายอนันต์ถึงแก่กรรมหลังจากนั้นเจ้าพนักงานประเมินจึงมีหนังสือเชิญโจทก์ไปทำการไต่สวน ในที่สุดแจ้งให้โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายอนันต์ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมเป็นเงิน 932,298.78 บาทโจทก์อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้ลดภาษี คงให้เสียภาษีและเงินเพิ่มเพียง 403,425.91 บาท โจทก์เห็นว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และในชั้นพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์โจทก์ยอมรับว่า โจทก์มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของนายอนันต์ผู้ตาย เพียงแต่ขอปรับปรุงวิธีคำนวณเพื่อลดหย่อนภาษีลงเท่านั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้อง นายอนันต์ถึงแก่ความตายระหว่างการตรวจสอบไต่สวน โจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรมและผู้จัดการมรดกของนายอนันต์ต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของนายอนันต์เมื่อเจ้าพนักงานประเมินเห็นว่า นายอนันต์เสียภาษีไว้ไม่ถูกต้องบริบูรณ์ก็ย่อมมีอำนาจแก้จำนวนเงินที่ยื่นรายการไว้แล้วแจ้งการประเมินไปยังโจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่าเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ได้มีหมายเรียกลงวันที่ 19 มกราคม 2524 และ 9 กันยายน 2525 เพื่อทำการตรวจสอบไต่สวนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของนายอนันต์สามีโจทก์ประจำปีพ.ศ. 2519 ถึง 2523 ต่อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2524 นายอนันต์ถึงแก่ความตายเสียโดยที่เจ้าพนักงานประเมินทำการตรวจสอบไต่สวนยังไม่เสร็จ เจ้าพนักงานประเมินจึงมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของนายอนันต์ไปพบและทำการไต่สวนโจทก์เกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของนายอนันต์ตามหมายเรียกข้างต้นแล้วแจ้งการประเมินให้โจทก์ทราบ คดีมีปัญหาว่า การประเมินโดยวิธีการดังกล่าวเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ประมวลรัษฎากรมาตรา 19 จะมิได้บัญญัติว่า เมื่อเจ้าพนักงานประเมินได้หมายเรียกไปยังผู้ยื่นรายการเพื่อเสียภาษีแล้วผู้นั้นถึงแก่ความตายเสียก่อนโดยเจ้าพนักงานประเมินทำการตรวจสอบไต่สวนยังไม่เสร็จและแจ้งการประเมินไปให้ผู้นั้นทราบเจ้าพนักงานประเมินจะดำเนินการต่อไปอย่างไรก็ตาม แต่เป็นที่เห็นได้ว่า ในกรณีที่ผู้ถึงแก่ความตายต้องเสียภาษี ผู้จัดการมรดกหรือทายาทเป็นผู้มีหน้าที่จัดการในเรื่องนี้แทนผู้ตายที่ถึงแก่ความตายดังที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา62 ฉะนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินดำเนินการตรวจสอบไต่สวนโจทก์แทนนายอนันต์ผู้ตาย แล้วแจ้งการประเมินให้โจทก์ทราบ จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
ที่โจทก์ฎีกาว่า นางสาวรัตนาวดีเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1ล่อลวงให้โจทก์ลงชื่อในเอกสารหมาย จ.13 จึงถือไม่ได้ว่า โจทก์ยอมสละประเด็นข้ออื่นตามที่ยกขึ้นอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณื และยอมรับผิดเสียภาษีโดยวิธีคำนวณใหม่ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.1/2526 นั้น เห็นว่า นางสาวรัตนาวดีหลอกลวงโจทก์อย่างไร โจทก์ไม่นำสืบแต่กลับได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ลดภาษีให้โจทก์ถึง 400,000 บาทเศษ จึงเชื่อว่า ที่โจทก์ลงชื่อในเอกสารดังกล่าวไปเพราะเห็นว่าการคำนวณภาษีตามคำสั่งข้างต้นโจทก์ได้ลดภาษีดังที่โจทก์เบิกความหาใช่เพราะการหลอกลวงของนางสาวรัตนาวดีตามที่โจทก์ยกขึ้นฎีกาไม่ เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คำนวณภาษีตามวิธีการที่โจทก์ต้องการแล้วโจทก์จะอุทธรณ์ต่อศาลว่า คำวินิจฉัยอุทธรณืดังกล่าวไม่ชอบ ขอให้ศาลเพิกถอนอีกไม่ได้ เพราะโจทก์พอใจแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน.

Share