คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2070/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยกระทำความผิดถึง 2 กระทง คือจำหน่ายกัญชาซึ่ง เป็นยาเสพติดให้โทษและมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นภัยต่อ สังคมอย่าง ร้ายแรง แม้กัญชาทั้งหมดจะมีน้ำหนักเพียง 5 กรัมและแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ก็ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีกัญชาแห้ง 4 ห่อ น้ำหนัก 5 กรัม และได้จำหน่ายกัญชานั้นไป 2 ห่อ หนัก 2.50 กรัม ในราคา 20 บาท ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7,8, 26, 75, 76, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ริบกัญชาของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 26, 75, 76, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ลงโทษฐานมีกัญชาไว้เพื่อจำหน่าย จำคุก 2 ปี ปรับ 20,000บาท ฐานจำหน่ายกัญชา จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 4 ปี ปรับ 20,000 บาทจำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปีปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 2 ปี ของกลางริบ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษแก่จำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 75 วรรคแรก และมาตรา 76 วรรคสองไม่ลงโทษปรับและไม่รอการลงโทษแก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่มีอาชีพค้าขายยาเสพติดให้โทษมาก่อน เพิ่งกระทำผิดคดีนี้เป็นครั้งแรก สมควรรอการลงโทษให้จำเลยนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยกระทำความผิดถึง 2 กระทง คือ จำหน่ายกัญชาซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษและมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นภัยต่อสังคมอย่างร้ายแรง แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นก็ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งแล้ว ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยตามที่จำเลยขอได้ ศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยนั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share