คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1984/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องระบุสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยทั้งสามได้บุกรุก เข้าไปทำนาในที่ดินของโจทก์ ซึ่ง มีเนื้อที่ 33 ไร่ 3 งาน90 ตารางวา โดย ระบุข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทและมีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสามและบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องและขนย้ายรื้อถอน สิ่งของสิ่งปลูกสร้างออกไป ดังนี้ เป็นการบรรยายฟ้องไว้โดยครบถ้วนตาม ที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ส่วนที่ดินของโจทก์อยู่ส่วนไหนอาณาเขตกว้างยาวเพียงใด จดที่ดินใคร จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์อย่างไร และเนื้อที่เท่าใด เป็นรายละเอียดที่นำสืบได้ ในชั้น พิจารณาไม่จำต้องบรรยายมาในฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามและบริวารบุกรุกเข้าไปทำนาในที่นาของโจทก์ โจทก์บอกกล่าวก็เพิกเฉยคงบุกรุกเข้าไปปลูกพืชเรื่อยมาและไม่ยอมรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ห้ามรบกวนหรือเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้ขนย้ายรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ หากไม่ขนย้ายรื้อถอนสิ่งของและสิ่งปลูกสร้างออกไปก็ขอให้ศาลอนุญาตให้โจทก์หรือตัวแทนโจทก์ขนย้ายรื้อถอนสิ่งของและสิ่งปลูกสร้างได้เองโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสามให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายว่าที่ดินพิพาทอยู่ส่วนไหนอาณาเขตกว้างยาวเพียงใดจดที่ดินของใครจำเลยทั้งสามบุกรุกที่ดินของโจทก์อย่างไร เนื้อที่เท่าใด ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหาและหลงข้อต่อสู้ ที่ดินตามฟ้องเดิมเป็นของนายสิงห์ทอง เทียมสำโรง บิดาของโจทก์ได้ยกให้บุคคลอื่นเข้าครอบครองปลูกข้าว นายสุทีป เทียมสำโรง และนายวิฑูรย์ เทียมสำโรง เป็นผู้เข้าครอบครองทำประโยชน์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 จนถึงปัจจุบันโจทก์มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เพียงแต่ในนามและไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องหรือทำประโยชน์ในที่ดินแต่อย่างใด
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมที่ดินพิพาทภายในเส้นสีแดงในแผนที่พิพาทเป็นของโจทก์ และโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสาม พิพากษาให้จำเลยทั้งสามและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทให้จำเลยทั้งสามและบริวารขนย้ายสิ่งของและรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท หากไม่ขนย้ายสิ่งของและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปให้โจทก์หรือตัวแทนมีอำนาจขนย้ายและรื้อถอนไปเองได้ ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเข้ามารบกวนหรือเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกต่อไปคดีนี้เป็นคดีพิพาทกันในระหว่างครอบครัว คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่น พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาประเด็นข้อเดียวว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องระบุสภาพแห่งข้อหาของโจทก์แล้วว่าจำเลยทั้งสามได้บุกรุกเข้าไปทำนาในที่ดินของโจทก์ซึ่งมีเนื้อที่ 33 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา โดยระบุข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทและมีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสามและบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องและขนย้ายรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปอันเป็นการบรรยายฟ้องไว้ โดยครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ส่วนที่ดินของโจทก์อยู่ส่วนไหน อาณาเขตกว้างยาวเพียงใดจดที่ดินของใคร จำเลยทั้งสามบุกรุกที่ดินของโจทก์อย่างไร และเนื้อที่เท่าใดนั้นเป็นรายละเอียดที่นำสืบได้ในชั้นพิจารณา หาจำต้องบรรยายมาในฟ้องไม่ ดังนั้นฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่วินิจฉัยประเด็นข้ออื่นมานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาในประเด็นที่ยังไม่ได้วินิจฉัยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.

Share