คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 113/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ตายก่อนตายมีสติสัมปชัญญะไม่ดี มีอาการหนักพูดไม่ค่อยเต็มปาก พูดถึงคนยิงว่าสงสัยจะเป็นนาย วิน โดยไม่ได้บอกว่าเป็นนาย วิน คนไหน นามสกุลอะไรในหมู่บ้านเกิดเหตุมีคนชื่อนาย วิน ถึง 3 คน เมื่อโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะที่ผู้ตายถูกคนร้ายยิง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำผิดดังที่โจทก์ฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 83 จำคุก 18 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะที่ผู้ตายถูกคนร้ายยิง พยานโจทก์คงมีจ่าสิบตำรวจชะเอิบซึ่งเป็นผู้นำผู้ตายส่งโรงพยาบาลเบิกความว่า ขณะที่รอรถยนต์เพื่อนำผู้ตายไปโรงพยาบาลนั้น ผู้ตายมีสติสัมปชัญญะไม่ดีเท่าที่ควรมีอาการหนักพูดไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำ น่าจะไม่รอด มีเลือดออกจากบาดแผลมาก พยานถามผู้ตายว่าใครเป็นคนยิง ผู้ตายบอกพยานเพียงว่าสงสัยจะเป็นนายวิน โดยไม่ได้บอกว่าเป็นนายวินคนไหนนามสกุลอะไร ในหมู่บ้านเกิดเหตุมีคนชื่อนายวินถึง 3 คน และจ่าสิบตำรวจชะเอิบเบิกความปฏิเสธบันทึกการชี้ตัวจำเลยเอกสารหมาย จ.3ซึ่งระบุว่า พยานยืนยันว่าจำเลยคือนายวินซึ่งผู้ตายระบุก่อนตายโดยอ้างว่าความจริงพยานเพียงแต่ชี้ตัวจำเลยว่าคือนายวินซึ่งพยานรู้จักมาก่อนเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าจ่าสิบตำรวจชะเอิบก็ไม่ทราบว่านายวินคนไหนเป็นคนร้าย ส่วนนางอัมวันภรรยาผู้ตายพยานโจทก์เบิกความยืนยันว่าไม่เห็นเหตุการณ์ ทั้งปฏิเสธคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.6/1 และแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.2โดยอ้างว่าลายมือชื่อในช่องผู้กล่าวหาทั้งสองฉบับมิใช่ลายมือชื่อของพยาน ผู้ตายไม่เคยมีสาเหตุกับผู้ใด พยานไม่ทราบผู้ใดเป็นคนร้าย จำเลยเคยมาเยี่ยมผู้ตายบ่อย ๆ ในหมู่บ้านที่เกิดเหตุมีคนชื่อนายวิน 2-3 คน คำเบิกความของนางอัมวันสอดคล้องกับคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจชะเอิบ นายอ่อนโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความยืนยันว่านายวินที่บ้านห้วยเหมืองมี 2 คน สืบทราบภายหลังว่าคนร้ายคือนายใจ และนายอ่อนเบิกความยืนยันปฏิเสธคำให้การชั้นสอบสวนของพยานเอกสารหมาย ป.จ.1 ว่า พยานไม่ได้อ่านข้อความและพนักงานสอบสวนก็ไม่ได้อ่านข้อความให้ฟัง คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามดังกล่าวเมื่อพิจารณาประกอบกับคำเบิกความของนายแพทย์บุญเลิศอนันตรัตนา นายดาบตำรวจสุเทพ ชินธรรม และร้อยตำรวจเอกสงัดเบาะทองคำ พยานโจทก์ โดยนายแพทย์บุญเลิศเบิกความยืนยันว่า เป็นผู้ร่วมทำการชันสูตรพลิกศพผู้ตาย แต่ปฏิเสธว่าลายมือชื่อผู้ชันสูตรพลิกศพคนที่ 1 ในรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.5ไม่ใช่ลายมือชื่อของพยาน ทั้งเอกสารหมาย จ.5 ระบุเพียงว่านายวินไม่ทราบนามสกุลเป็นคนร้ายทำให้ตาย จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าคนร้ายคือจำเลย ส่วนนายดาบตำรวจสุเทพผู้จับกุมจำเลยซึ่งเบิกความว่าขณะควบคุมจำเลยไปสถานีตำรวจ จำเลยรับว่าเป็นคนร้ายนั้น ก็ขัดกับบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งระบุว่าจำเลยให้การปฏิเสธสำหรับร้อยตำรวจเอกสงัดเบิกความยอมรับว่า หมายจับเอกสารหมาย จ.5/1และตำหนิรูปพรรณเอกสารหมาย จ.7 มีการลบข้อความว่า “ไม่ทราบนามสกุล”ต่อจากชื่อนายวินแล้วพิมพ์ทับข้อความที่ลบดังกล่าวว่า “ผอมด้วง”โดยไม่มีลายมือชื่อผู้แก้ไขกำกับไว้ นอกจากนี้เมื่อได้พิจารณาถึงแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.2 ประกอบกับคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจชะเอิบก็ปรากฏว่าสภาพของที่เกิดเหตุเป็นทางเดินวกวนกว้างประมาณ 1ศอก สองข้างทางเป็นป่าทึบมีร่องรอยคนเหยียบย่ำ หากคนร้ายแอบซุ่มยิงจะไม่เห็นคนร้าย ศาลฎีกาเห็นว่า จ่าสิบตำรวจชะเอิบ นางอัมวันและนายอ่อน เบิกความประกอบกันสมเหตุสมผลเป็นที่เชื่อฟังได้โดยปราศจากสงสัย ไม่ได้เบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยดังข้อฎีกาของโจทก์ ดังนั้น คำให้การชั้นสอบสวนและการชี้ตัวจำเลยของจ่าสิบตำรวจชะเอิบ คำให้การชั้นสอบสวนของนางอัมวันและของนายอ่อนรวมทั้งรายงานการชันสูตรพลิกศพและตำหนิรูปพรรณผู้กระทำผิดจึงเป็นพิรุธและไม่อาจรับฟังเป็นความจริงได้ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมายังฟังไม่ได้แน่ชัดว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดดังที่โจทก์ฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน”.

Share