คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 70/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บิดาโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจาก ม. ซึ่งได้จดทะเบียนขายให้ในวันเดียวกับที่ทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จากนั้นฝ่ายโจทก์ก็เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา ส่วนหนังสือรับรองการทำประโยชน์อีกฉบับหนึ่งซึ่งจำเลยได้รับจดทะเบียนโอนมาจาก ม. เช่นกันนั้นได้มาโดย ม. ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซ้ำในที่ดินที่ได้ขายให้แก่บิดาโจทก์ไปแล้ว ซึ่ง ม. ไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ จำเลยซึ่งได้รับโอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับหลังมาจาก ม. จึงไม่มีสิทธิใด ๆในที่พิพาทเช่นกัน โจทก์ครอบครองที่พิพาทและหนังสือรับรองการทำประโยชน์มีชื่อบิดาโจทก์อยู่ จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตราบใดที่โจทก์ครอบครองและถือสิทธิตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์อยู่โดยชอบด้วยกฎหมาย ก็ย่อมมี สิทธิดีกว่าผู้อื่น.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรและผู้จัดการมรดกของนายชาย ป้องรองก่อนถึงแก่กรรมนายชายได้ซื้อที่นา น.ส.3 เลขที่ 9 ตำบลสระสมิงอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ 56 ไร่ จากนายหมั่นวังคะฮาด โดยสุจริตและจดทะเบียนซื้อขายกันในวันที่ 14 กรกฎาคม 2510หลังจากนั้นนายชายได้เข้าครอบครองโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2520 ต่อมาประมาณต้นปี พ.ศ. 2528 โจทก์ได้นำคำสั่งศาลที่ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกไปขอโอน น.ส.3 ดังกล่าวมาเป็นของโจทก์เจ้าพนักงานที่ดินอ้างว่ามี น.ส.3 อีกฉบับหนึ่งซึ่งออกภายหลังซ้ำกับน.ส.3 ของนายชายดังกล่าว โดยมีเนื้อที่ 43 ไร่ 1 งาน 99 ตารางวา และระบุว่าจำเลยซื้อจากนายหมั่น วังคะฮาด จึงไม่สามารถโอนให้โจทก์ได้โจทก์ได้ให้ทนายความบอกกล่าวไปยังจำเลย ขอให้จำเลยเพิกถอนน.ส.3 ของจำเลย แต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้พิพากษาเพิกถอน น.ส.3ของจำเลย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท ให้จำเลยนำน.ส.3 ของจำเลยไปจดทะเบียนเป็นโมฆะต่อสำนักงานที่ดินที่ออก น.ส.3หากเพิกเฉย ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า นายชาย ป้องรอง มิได้ซื้อที่พิพาทจากนายหมั่นวังคะฮาด จึงมิใช่มรดกของนายชาย สัญญาขายที่ดินและ น.ส.3 ท้ายฟ้องโจทก์เป็นเอกสารปลอม เพราะไม่ได้ออกโดยเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจที่พิพาทเป็นของนายหมั่น วังคะฮาด ซึ่งเจ้าพนักงานได้สำรวจแล้วออกเป็น น.ส.3 เล่ม 2 หน้า 23 สารบบเล่มหมู่ 7 หน้า 9 ให้นายหมั่นต่อมาเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2511 จำเลยได้ซื้อที่พิพาทจากนายหมั่นโดยจดทะเบียนถูกต้อง แล้วให้นายชาย เช่าทำกิน ครั้นนายชายถึงแก่กรรมโจทก์ขอเช่าต่อ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาท จึงเป็นผู้มีสิทธิเหนือที่พิพาทและ น.ส.3 ฉบับของจำเลยออกโดยไม่ชอบ พิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ฉบับเล่ม 2 หน้า 23สารบบเล่มหมู่ 7 หน้า 7 (ที่ถูกหน้า 9) ตำบลสระสมิง หมู่ที่ 7อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ของจำเลยห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท ส่วนคำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิเหนือที่พิพาท หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยได้ออกโดยชอบนั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนายประสิทธิ์โคตรรักษา เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พยานจำเลยว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งของโจทก์และของจำเลยได้ออกมาโดยถูกต้องเห็นว่า พยานปากนี้เป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด จึงรับฟังเป็นความจริงได้ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์เอกสารหมาย จ.1 ทางราชการได้ออกให้เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2510 ในวันดังกล่าวนายหมั่น วังคะฮาด ได้จดทะเบียนขายให้แก่นายชายบิดาโจทก์และบิดาโจทก์ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินที่ซื้อมากับสหกรณ์ศรีษะกระบือไม่จำกัดสินใช้และข้อเท็จจริงได้ความจากคำพยานโจทก์จำเลยว่า ฝ่ายโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา ส่วนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.5 ทางราชการได้ออกให้เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2511 และนายหมั่นได้จดทะเบียนโอนขายให้จำเลยในวันเดียวกันซึ่งเป็นการออกและจดทะเบียนหลังจากที่นายหมั่นได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจดทะเบียนโอนขายให้แก่บิดาโจทก์แล้ว การที่นายหมั่นไปยื่นคำร้องลงวันที่ 25 ธันวาคม 2510 ขอถอนการขายที่ดินให้แก่บิดาโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.1 และต่อมาทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ ตามเอกสารหมาย ล.5 ก็เป็นเรื่องที่นายหมั่นไปดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซ้ำในที่ดินที่ตนได้ขายให้แก่บิดาโจทก์ไปแล้ว ซึ่งนายหมั่นไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ นายหมั่นจึงไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาท จำเลยซึ่งได้รับโอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวจากนายหมั่น จึงไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาทเช่นกัน คดีปรากฏว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทและหนังสือรับรองการทำประโยชน์มีชื่อบิดาโจทก์อยู่จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินที่โจทก์ยึดถืออยู่นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตราบใดที่โจทก์ครอบครองและถือสิทธิตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์อยู่โดยชอบด้วยกฎหมาย ก็ย่อมมีสิทธิดีกว่าผู้อื่น จำเลยจะอ้างว่าตนเป็นเจ้าของขึ้นมาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share