คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4765/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยกระทำอย่างไร มีเจตนาอย่างไรเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลล่างทั้งสองฟังว่าจำเลยมีเจตนาประสงค์จะได้ทรัพย์ จึงได้ทำร้ายผู้เสียหายเพื่อเอาทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยโต้เถียงว่า ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น จำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายอย่างเดียวก่อน เมื่อผู้เสียหายสลบไปแล้วจำเลยจึงมีเจตนาเอาทรัพย์ไปภายหลัง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับฟ้องนั้น เป็นฎีกาที่โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมา ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,289, 339 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน2514 ข้อ 14 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 1,150 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยไม่ได้ให้การ ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา339 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ที่ 21 พฤศจิกายน 2514ข้อ 14 จำเลยอายุ 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ให้จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 1,150 บาท แก่ผู้เสียหาย ส่วนข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 จำคุก 3 ปี 4 เดือนศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือนดังนี้ ศาลอุทธรณ์เพียงแต่ปรับบทกฎหมายที่ลงโทษจำเลยโดยระบุวรรคให้ถูกต้องแต่ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไปหาบิดา แต่บิดาไม่อยู่ ผู้เสียหายรีดผ้าอยู่ห่างจากจำเลย 2 วา เกิดโต้เถียงกัน ผู้เสียหายตบหน้าจำเลยก่อน จำเลยชกต่อยผู้เสียหายจนหมดสติแล้วจำเลยเก็บทรัพย์สินใส่กระเป๋าเดินออกจากบ้านที่เกิดเหตุ จึงเป็นการทำร้ายร่างกายและลักทรัพย์ไม่ใช่เป็นการชิดทรัพย์ดังที่ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยไว้ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยกระทำอย่างไร มีเจตนาอย่างไร เป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลล่างทั้งสองฟังว่าจำเลยมีเจตนาประสงค์จะได้ทรัพย์ จึงได้ทำร้ายผู้เสียหายเพื่อเอาทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยโต้เถียงว่าความจริงไม่ใช้เช่นนั้น จำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายอย่างเดียวก่อน เมื่อผู้เสียหายสลบไปแล้ว จำเลยจึงมีเจตนาเอาทรัพย์ไปภายหลัง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับฟ้องนั้นเป็นฎีกาที่โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมา ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share