คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3766/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่โจทก์นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องส่งให้แก่จำเลยณ ภูมิลำเนาตามหลักฐานทางทะเบียน โจทก์ทราบดีว่าจำเลยพักอยู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งแม้จะมิใช่ภูมิลำเนาทางทะเบียนแต่ถือได้ว่าเป็นสำนักทำงานการของจำเลยได้ การที่โจทก์แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า ไม่ทราบว่าจำเลยอยู่ ณ ที่ใดในราชอาณาจักรขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยวิธีประกาศทางหนังสือพิมพ์จึงไม่ชอบ ข้อคัดค้านคำตัดสินของศาลเพียงแต่กล่าวอ้างไว้ในคำขอก็ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ไม่จำเป็นต้องนำสืบในชั้นไต่สวน และเมื่อจำเลยยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงไม่ต้องระบุเหตุที่ยื่นคำขอล่าช้า.

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานไปฝ่ายเดียวและพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ อ้างว่าไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับปัญหาตามฎีกาโจทก์ข้อแรก จำเลยเบิกความว่า ไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง เพิ่งมาทราบเองภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้ทำการพิจารณาและพิพากษาเสร็จสิ้นไปแล้ว เพราะตอนโจทก์ฟ้องและนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้แก่จำเลยณ ภูมิลำเนาตามหลักฐานทางทะเบียนนั้น จำเลยไม่ได้อยู่ที่ภูมิลำเนาดังกล่าวนั้น หากแต่จำเลยไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 1814/46 แขวงบางบำหรุเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3เจือสมกับบันทึกการส่งหมายของเจ้าพนักงานศาลที่ว่า ไม่พบจำเลยสอบถามคนในบ้านได้ความว่าจำเลยย้ายไปอยู่กรุงเทพนานแล้ว และยังได้ความจากคำเบิกความของจำเลยอีกว่า ก่อนถูกโจทก์ฟ้อง จำเลยเคยบอกที่อยู่ดังกล่าวของจำเลยให้โจทก์ทราบและโจทก์ยังเคยโทรศัพท์มาติดต่อจำเลยที่บ้านหลังนี้ด้วย โจทก์ไม่ได้นำสืบหักล้วงข้อนำสืบดังกล่าวของจำเลย เมื่อพิจารณาประกอบกับคดีตามฟ้องเป็นเรื่องพิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ไม่ใช่ขับไล่โดยตรง จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จำเลยจะต้องปกปิดภูมิลำเนามิให้โจทก์ทราบดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย เพราะการปกปิดภูมิลำเนามิให้โจทก์ทราบในกรณีเช่นนี้มีแต่จะทำให้จำเลยเสียประโยชน์ในเชิงคดี พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักฟังได้ว่า ช่วงเวลาที่มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยนั้น โจทก์ทราบดีว่าจำเลยอยู่บ้านหลังดังกล่าวที่กรุงเทพมหานคร ดังที่จำเลยเบิกความ แม้บ้านหลังนี้จะมิใช่ภูมิลำเนาทางทะเบียน แต่ก็ถือว่าเป็นสำนักทำงานการของจำเลยได้ การที่โจทก์แถลงต่อศาลชั้นต้นว่าไม่ทราบว่าจำเลยอยู่ ณ ที่ใดในราชอาณาจักรขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยวิธีประกาศทางหนังสือพิมพ์จึงไม่ชอบ กรณียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัด
ส่วนปัญหาตามฎีกาของโจทก์อีกข้อหนึ่งที่ว่า คำขอให้พิจารณาใหมต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่ขาดนัด ข้อคัดค้านคำตัดสินของศาลและในกรณียื่นคำขอล่าช้า เหตุแห่งการล่าช้านั้นด้วย แต่ตามทางไต่สวนจำเลยนำสืบไม่ได้ความชัดถึงกรณีดังกล่าวจึงเป็นคำขอที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสองนั้นเห็นว่า เหตุที่ขาดนัดได้ความชัดว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดดังได้วินิจฉัยไว้แล้วในปัญหาข้อแรกสำหรับข้อคัดค้านคำตัดสินของศาลเพียงแต่กล่าวอ้างไว้ในคำขอก็ชอบแล้ว ไม่จำเป็นต้องนำสืบในชั้นไต่สวน และกรณีดังกล่าวนี้จำเลยยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงไม่มีเหตุที่ยื่นคำขอล่าช้า จากเหตุผลดังได้วินิจฉัยมาข้างต้น คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share