คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3677/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บุกรุกเข้าครอบครองที่ดินพิพาทในเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้วจ้างจำเลยที่ 1 ปลูกข้าวโพด มีจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นบริวารช่วยเหลือจำเลยที่ 1 การยึดถือที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการยึดถือแทนโจทก์ โจทก์ย่อมเป็นผู้ครอบครองมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ปัญหาอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามบุกรุกที่ทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติสองข้างทางสายชัยวิบูลย์ อำเภอบึงสามพันจังหวัดเพชรบูรณ์ เนื้อที่ประมาณ 40 ไร่ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514และครอบครองมาตลอดโดยโจทก์จ้างจำเลยที่ 1 ทำนา ทำไร่ในที่ดินดังกล่าวมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้ช่วยของจำเลยที่ 1 ต่อมาประมาณเดือนสิงหาคม 2526 ได้มีประกาศของราชการให้ราษฎรที่บุกรุกทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติสองข้างทางชัยสายวิบูลย์ยื่นคำร้องเพื่อขอมีสิทธิทำกิน จำเลยทั้งสามไปยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานเพื่อขอมีสิทธิทำกินในที่ดินดังกล่าวของโจทก์เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2526ส่วนโจทก์ทราบประกาศดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2526 จึงไปยื่นคำร้องเพื่อให้ได้สิทธิทำกินในที่ดินของโจทก์ แต่เจ้าพนักงานไม่รับคำร้อง ของ โจทก์ เนื่องจากจำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องในที่ดินแปลงเดียวกันไว้ก่อนแล้ว จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ถอนคำร้องที่ยื่นไว้ต่อเจ้าพนักงานโครงการช่วยเหลือราษฎรให้มีสิทธิทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติสองข้างทางสายชัยวิบูลย์จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท และห้ามเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทจำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1ซื้อสิทธิการจับจองและรับโอนการครอบครองที่ดินพิพาทจากบุคคลภายนอกมาเมื่อประมาณเดือนกันยายน 2515 แล้วเข้าทำไร่โดยมีจำเลยที่ 2ที่ 3 ช่วยทำ โจทก์ทราบว่าจำเลยทั้งสามยื่นคำร้องต่อทางราชการเพื่อขอสิทธิทำกินในที่ดินพิพาทแต่ไม่โต้แย้งคัดค้าน กลับมายื่นคำร้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยถอนคำร้องที่ยื่นไว้ต่อเจ้าพนักงานโครงการช่วยเหลือราษฎรให้มีสิทธิทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติสองข้างทางสายชัยวิบูลย์ จังหวัดเพชรบูรณ์ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสามอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสามฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสามหรือจำเลยทั้งสามเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท ฝ่ายโจทก์มีตัวโจทก์ทั้งสาม นางยี สิงห์พริ้ง เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่าโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทแปลงที่มีเนื้อที่ 38 ไร่ จากนายสวย แล้วแบ่งให้โจทก์ที่ 2 และที่ 3แต่โจทก์ที่ 1 ยังจัดการแทนอยู่ โดยจ้างจำเลยที่ 1 ปลูกข้าวโพดในที่ดินดังกล่าว มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ช่วยทำสำหรับที่ดินพิพาทแปลงที่มีเนื้อที่ 1 ไร่เศษ โจทก์ที่ 1 ก็ซื้อจากนายบุญมีหรือมีให้จำเลยที่ 1 กับพวกอยู่อาศัย โดยมีนายสวยกับนายมีหรือบุญมีเป็นพยานเบิกความรับรองว่าได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 1จริง ทั้งยังมีนายแก้ว พาณิชย์ สารวัตรกำนันตำบลขับไม้แดงซึ่งที่ดินพิพาทตั้งอยู่เบิกความเป็นพยานรู้เห็นเรื่องที่นายสวยกับนายมีหรือบุญมีขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 1 และนายเกรียงศักดิ์ ทองเสงี่ยมผู้ใหญ่บ้านในเขตซึ่งที่ดินพิพาทตั้งอยู่เบิกความว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินพิพาทตลอดมาทุกปีด้วย นอกจากพยานบุคคลดังกล่าวแล้วโจทก์ยังมีพยานเอกสารคือหนังสือสัญญาที่โจทก์ที่ 1 จ้างจำเลยที่ 1ทำไร่ในที่ดินพิพาทมาแสดงตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวจึงมีน้ำหนักมั่นคง ที่จำเลยทั้งสามนำสืบว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับนางสวาทซื้อที่ดินจากนายสวย แล้วมาแบ่งกันคนละ 30 กว่าไร่ โดยจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ที่ 1 มา 11,000 บาท และจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินจากนายมีหรือบุญมีกับพวกมาปลูกบ้านเองนั้น เห็นว่า ข้อนำสืบดังกล่าวนอกจากจะขัดกับคำให้การของจำเลยทั้งสามที่ให้การว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ที่ 1 จำนวน 10,300 บาท มาซื้อที่ดินพิพาทโดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 เข้าช่วยถากถางทำกิน ไม่ใช่จำเลยที่ 2 เข้าซื้อที่ดินทำกินเองแล้ว นายสวยและนายมีหรือบุญมีซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2อ้างว่าขายที่ดินพิพาทให้ตนหาได้เบิกความรับรองดังที่จำเลยนำสืบไม่ แต่คนทั้งสองกลับเบิกความว่าขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 1ดังกล่าวข้างต้นที่จำเลยที่ 1 เบิกความว่าพยานเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินพิพาทโดยฝากโจทก์ที่ 1 เป็นผู้นำไปชำระก็ไม่น่าเชื่อ เพราะหากที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยจริงแล้วจำเลยน่าจะเป็นผู้ไปชำระภาษีบำรุงท้องที่เอง เนื่องจากเป็นคนในท้องถิ่นนั้น ย่อมสะดวกกว่าการที่จะฝากโจทก์ที่ 1 ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดพิจิตรและมาดูแลที่ดินพิพาทปีละ 2-3ครั้ง ที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่า จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อตามเอกสารหมาย จ.3 เนื่องจากเข้าใจว่าเป็นสัญญากู้เงินซึ่งจำเลยที่ 1 ยังค้างชำระหนี้โจทก์ที่ 1 อยู่ 2,000 บาท นั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 เบิกความในตอนแรกว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ที่ 1มาโดยไม่ได้ทำสัญญาและใช้หนี้หมดแล้ว ดังนั้น จึงไม่มีหนี้สินอะไรที่จำเลยที่ 1 จะต้องลงชื่อในหนังสือสัญญากู้ให้โจทก์ที่ 1 อีก นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ก็เบิกความรับว่าผู้เขียนหนังสือสัญญาตามเอกสารหมาย จ.3 ได้อ่านข้อความในหนังสือสัญญานั้นให้จำเลยที่ 1 ฟังเข้าใจดีแล้วด้วย ข้อนำสืบของจำเลยทั้งสามที่ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาท และเข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของจึงมีพิรุธไม่สมเหตุผล พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นมีน้ำหนักดีกว่าฝ่ายจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างปลูกข้าวโพดของโจทก์ มีจำเลยที่ 2 ที่ 3เป็นบริวารการยึดถือที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 1 เป็นการยึดถือแทนโจทก์ทั้งสาม ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า ที่ดินพิพาทแต่เดิมเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ไม่ว่าโจทก์หรือจำเลยจะเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทย่อมไม่ได้สิทธิครอบครอง ฉะนั้นเมื่อทางราชการเปิดโอกาสให้ราษฎรยื่นคำร้องให้มีสิทธิทำกินในเขตที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้ครอบครองทำกินในที่ดินพิพาท ย่อมมีสิทธิดีกว่าโจทก์ทั้งสามนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นเพียงลูกจ้างปลูกข้าวโพดของโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นบริวารของจำเลยที่ 1ดังวินิจฉัยมาแล้ว โจทก์ย่อมเป็นผู้ครอบครองมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าผู้อื่น จำเลยทั้งสามหาใช่ผู้ครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทไม่จึงไม่มีสิทธิดีกว่าโจทก์ และศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าเมื่อได้ความเช่นนี้ โจทก์ทั้งสามย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยได้ ฎีกาของจำเลยทั้งสาม นอกจากนี้เป็นข้อปลีกย่อย ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสามถอนคำร้องที่ยื่นไว้ต่อเจ้าพนักงานโครงการช่วยเหลือราษฎรให้มีสิทธิทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติสองข้างทางสายชัยวิบูลย์และให้จำเลยทั้งสามออกไปจากที่ดินพิพาทนั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share