คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3606/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 การพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของเจ้าหนี้ ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 หรือมาตรา 10 ถ้าศาลพิจารณาได้ความจริงให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด แต่ถ้าไม่ได้ความจริงหรือลูกหนี้นำสืบได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด หรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย ให้ศาลยกฟ้อง การที่จำเลยยื่นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว แต่ศาลชั้นต้นรวบรัดฟังคำพยานโจทก์ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด โดยไม่รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยเพื่อให้โอกาสจำเลยนำพยานเข้าสืบ จึงไม่เพียงพอต่อการพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา 14 ดังกล่าว กรณีมีเหตุสมควรให้ศาลชั้นต้นรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมและดำเนินการสืบพยานจำเลยต่อไปก่อน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้ค่าสินค้าโจทก์จำนวน 284,612 บาทโจทก์ทวงถามเป็นหนังสือ 2 ครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวันแล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้และได้ขนย้ายทรัพย์สิน ปิดสถานที่ประกอบธุรกิจหลบหนีจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง จำเลยไม่ได้เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วมีคำสั่งกำหนดวันนัดสืบพยานจำเลยวันที่ 19 สิงหาคม 2529 ครั้นถึงกำหนดวันนัดดังกล่าว จำเลยยื่นคำแถลงขออนุญาตระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า สำเนาให้โจทก์ สอบโจทก์ ทนายโจทก์แถลงว่า โจทก์ไม่มีโอกาสทราบก่อน และพ้นกำหนดตามกฎหมาย พิเคราะห์แล้วเห็นว่ากรณีล่วงเลยกำหนดเวลายื่นบัญชีระบุพยานแล้ว ประกอบกับโจทก์คัดค้าน จึงไม่อนุญาตให้ระบุพยานเพิ่มเติม ในวันเดียวกันนั้นจำเลยได้อ้างตนเองเบิกความเป็นพยานจำเลยแล้วศาลนัดฟังคำสั่งวันที่ 3 กันยายน 2529 และในวันนัดฟังคำสั่งนั้น จำเลยได้ยื่นคำแถลงคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยฉบับลงวันที่ 19 สิงหาคม 2529 และดำเนินการสืบพยานจำเลยตามบัญชีระบุพยานของจำเลย แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า มีเหตุที่ศาลชั้นต้นต้องรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยฉบับลงวันที่ 19 สิงหาคม 2529 และดำเนินการสืบพยานจำเลยต่อไปอีกหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 14 นั้น มีบทบังคับว่า การพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของเจ้าหนี้นั้น ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 หรือมาตรา 10 ถ้าศาลพิจารณาได้ความจริง ให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด แต่ถ้าไม่ได้ความจริงหรือลูกหนี้นำสืบได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด หรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย ให้ศาลยกฟ้อง เพราะฉะนั้นจึงต้องพิจารณาจนกระทั่งรับฟังข้อเท็จจริงให้ได้ตามมาตรา 9 หรือมาตรา 10 ได้ความจากตัวโจทก์ว่า บ้านที่ประกอบธุรกิจการค้าชื่อร้านกิตติพรนั้นเป็นบ้านของโจทก์ เครื่องโทรศัพท์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจตลอดจนรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า ไฮเอซ ซึ่งนำมาบรรทุกส่งสินค้าที่ใช้ประกอบธุรกิจก็เป็นของโจทก์ และได้เอาประกันภัยในนามของโจทก์ ทั้งโจทก์เป็นผู้ชำระค่าเช่าโทรศัพท์ โจทก์อ้างว่าจำเลยเช่าบ้านดังกล่าวจากโจทก์ โจทก์ก็ไม่มีสัญญาเช่า นายอดิศักดิ์ อนุโลมสมบัติพยานโจทก์เบิกความว่า โจทก์ได้ลงชื่อสลักหลังเช็คที่จำเลยออกนำมาแลกเงินสดกับพยาน จำเลยอ้างตนเองเบิกความเป็นพยานว่า โจทก์ได้ร่วมลงทุนกับจำเลยเปิดร้านค้าชื่อร้านกิตติพร เพราะโจทก์เชื่อความสามารถของจำเลย จำเลยดูแลเรื่องการเงิน โจทก์คอยคุมกิจการทั้งหมด โจทก์นำสินค้าเครื่องเขียน แบบเรียนมาร่วมลงทุน และให้ใช้ร้านกิตติพรซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านของโจทก์ด้วย นอกจากนี้โจทก์ยังเปิดร้านประกอบธุรกิจการค้าขายเครื่องเขียน แบบเรียนเช่นเดียวกัมีชื่อว่า “ช.สัมพันธ์” ซึ่งอยู่ในซอยเดียวกับร้านกิตติพรห่างกันประมาณ 300 เมตร นางสาวสุธี บุญยืน ซึ่งลงชื่อรับสินค้าในใบส่งของชั่วคราวนั้นเป็นลูกจ้างของร้าน ช.สัมพันธ์ และร้านกิตติพร ดังนี้จึงน่าเชื่อว่า โจทก์และจำเลยน่าจะประกอบธุรกิจเป็นหุ้นส่วนกันจึงเห็นสมควรต้องฟังพยานต่อไป การที่ศาลชั้นต้นรวบรัดฟังคำพยานโจทก์ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว แล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลเด็ดขาด โดยไม่รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยเพื่อให้โอกาสจำเลยนำพยานเข้ามาสืบ จึงไม่เพียงพอต่อการพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ตามบทกฎหมายที่กล่าวมาข้างต้น กรณีมีเหตุสมควรให้จำเลยได้สืบพยาน ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยฉบับลงวันที่ 19สิงหาคม 2529 และดำเนินการสืบพยานจำเลยตามบัญชีระบุพยานของจำเลย แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเสียใหม่ตามรูปคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share