แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การผลิตและการขายยาแผนโบราณโดยไม่ได้รับอนุญาต กับการผลิตและการขายยาแผนโบราณที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยานั้น จำเลยกระทำโดยมีเจตนาเดียวกันและยาแผนโบราณเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวกัน แต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานผลิตและขายยาแผนโบราณโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นบทหนัก คำฟ้องของโจทก์มุ่งประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานผลิตและขายยาแผนโบราณโดยไม่ได้รับอนุญาตกระทงหนึ่ง กับฐานผลิตและขายยาแผนโบราณที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาอีกกระทงหนึ่ง คำฟ้องดังกล่าวมิได้แยกการกระทำเป็นการผลิตกรรมหนึ่งและเป็นการขายอีกกรรมหนึ่งดังที่โจทก์ฎีกา จึงเป็นฎีกาที่ขอให้ลงโทษจำเลยนอกเหนือไปจากคำฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510มาตรา 46, 72(4), 111, 122 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 31(ที่ถูกน่าจะเป็นมาตรา 91) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยพ.ศ. 2510 มาตรา 46, 72(4), 111, 122 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 31(ที่ถูกน่าจะเป็นมาตรา 91) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานผลิตยาแผนโบราณโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นบทหนัก จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำเลยที่ 1ปรับ 2,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 1 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกจำเลยที่ 2 ให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องข้อหาฐานขายและข้อหาฐานมีไว้เพื่อขายซึ่งยาแผนโบราณ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ข้อหาฐานขายและข้อหาฐานมีไว้เพื่อขายซึ่งยาแผนโบราณเป็นการชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า คำว่า “ขาย” ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 หมายความรวมถึง จำหน่ายจ่ายแจกหรือแลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์ในการค้าและมีไว้เพื่อขาย การทีโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งยาแผนโบราณโดยไม่ได้รับอนุญาตกับร่วมกันขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งยาแผนโบราณที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา ย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันขายยาแผนโบราณโดยไม่ได้รับอนุญาต กับร่วมกันขายยาแผนโบราณที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยานั่นเอง เมื่อจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้องข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันขายยาแผนโบราณโดยไม่ได้รับอนุญาตกับร่วมกันขายยาแผนโบราณที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น แต่ศาลฎีกาเห็นว่า การผลิตและการขายยาแผนโบราณโดยไม่ได้รับอนุญาต กับการผลิตและการขายยาแผนโบราณที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยานั้น จำเลยทั้งสองกระทำโดยมีเจตนาเดียวกันและยาแผนโบราณเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวกัน แต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานผลิตและขายยาแผนโบราณโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองโดยแยกการกระทำเป็นการผลิตกรรมหนึ่งและเป็นการขายอีกกรรมหนึ่งนั้น เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องข้อ ก.ระบุว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันผลิตและขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งยาแผนโบราณโดยไม่ได้รับอนุญาต และฟ้องข้อ ข.ระบุว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันผลิตและขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งยาแผนโบราณในฟ้องข้อ ก. อันเป็นยาแผนโบราณที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา เห็นได้ชัดเจนว่า คำฟ้องของโจทก์มุ่งประสงค์ให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันผลิตและขายยาแผนโบราณโดยไม่ได้รับอนุญาตกระทงหนึ่ง กับฐานร่วมกันผลิตและขายยาแผนโบราณดังกล่าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาอีกกระทงหนึ่งโดยคำฟ้องดังกล่าวมิได้แยกการกระทำเป็นการผลิตกรรมหนึ่งและเป็นการขายอีกกรรมหนึ่งดังที่โจทก์ฎีกา ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ขอให้ศาลลงโทษจำเลยนอกเหนือไปจากคำฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.