คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3278/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้เก็บโฉนดที่ดินพิพาทไว้ส่งมอบโฉนดที่ดินนั้นต่อศาลเพื่อดำเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้ คำสั่งของศาลเช่นว่านี้ย่อมไม่ทำให้ผู้เก็บโฉนดที่ดินพิพาทสูญเสียสิทธิในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท และโฉนดที่ดินพิพาทที่ส่งมอบต่อศาลก็เพื่อไปดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาเท่านั้น มิใช่เอาไปเสียจากการยึดถือครอบครองของผู้เก็บโฉนดที่ดิน การที่ผู้เก็บโฉนดที่ดินพิพาทฟ้องจำเลยให้โอนที่ดินพิพาทแก่ตนก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ และฟ้องโจทก์จำเลยคดีนี้ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นอีกคดีหนึ่งนั้น มิใช่เหตุที่ศาลจะงดการบังคับคดีนี้ไว้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้แก่โจทก์ตามสัญญาซื้อขาย หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โจทก์ได้ไปดำเนินการขอโอนที่ดินที่สำนักงานที่ดินจังหวัดระยองแล้วสำนักงานที่ดินจังหวัดระยองได้มีหนังสือถึงศาลชั้นต้นแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่อาจจดทะเบียนโอนโฉนดที่ดินตามคำพิพากษาได้ เนื่องจากโจทก์ไม่สามารถนำโฉนดที่ดินมาจดทะเบียนโอน เพราะผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมและเป็นผู้เก็บโฉนดที่ดินไว้ไม่ยอมส่งมอบโฉนดที่ดินให้โดยอ้างว่าผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นตามคำฟ้องคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 480/2529 เพื่อบังคับให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยรวม 6 แปลงดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องเช่นเดียวกัน วันที่ 18 สิงหาคม 2530 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกผู้ร้องมาสอบถามและให้ส่งมอบโฉนดที่ดินรายพิพาทต่อศาลเพื่อให้โจทก์นำไปให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดระยองดำเนินการจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินในโฉนดที่ดินทั้งหมดเฉพาะส่วนของจำเลยตามคำพิพากษา หากผู้ร้องไม่ยอมส่งมอบไม่ว่าเป็นด้วยเหตุใด ๆ ขอให้ศาลมีคำสั่งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดระยองให้ออกใบแทนโฉนดที่ดินทั้งหมดดังกล่าว แล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งหมดดังกล่าวให้โจทก์ตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นสั่งคำร้อง ของ โจทก์ดังกล่าว ให้นัดพร้อม สำเนาให้ผู้ร้องหมายเรียกผู้ร้องมาศาลในวันนัด
วันที่ 28 กันยายน 2530 ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลว่า โจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้ผู้เดียว คำพิพากษาคดีนี้จึงไม่ผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยให้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในคดีนี้แก่ผู้ร้องเช่นเดียวกัน โดยยื่นคำฟ้องก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 480/2529หากศาลพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดี ผู้ร้องก็เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเช่นเดียวกับโจทก์ในคดีนี้ และโฉนดที่ดินทั้งหกฉบับผู้ร้องได้อ้างเป็นพยานต่อศาลในคดีดังกล่าวไว้ ทั้งผู้ร้องยังได้ฟ้องโจทก์กับจำเลยในคดีนี้เป็นจำเลยร่วมกันต่อศาลชั้นต้น ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลย เนื่องจากโจทก์กับจำเลยมีเจตนาฉ้อฉล ผู้ร้องตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่152/2530 ของศาลชั้นต้น จึงขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ระงับการบังคับคดีในคดีนี้ไว้ชั่วคราวเพื่อรอฟังผลคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 480/2529 และ 152/2530 ครั้นวันที่ 12 ตุลาคม 2530ซึ่งเป็นวันนัดพร้อม ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยมีหน้าที่ต้องโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลซึ่งถึงที่สุดแล้ว เว้นแต่จะมีเหตุขอให้งดการบังคับคดีไว้ได้ตามกฎหมาย เมื่อปรากฏว่าโฉนดที่ดินพิพาทจำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้ร้อง และผู้ร้องไม่ยอมส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทแก่ศาลเพื่อดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาได้ การที่ผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้องตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 480/2530 (ที่ถูก480/2529) ของศาลชั้นต้นนั้น ไม่เป็นเหตุให้งดการบังคับคดีในคดีนี้ไว้ได้ ส่วนผู้ร้องจะมีสิทธิขอคุ้มครอง อย่างไรก็ต้องไปดำเนินการในคดีดังกล่าวซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีนี้ จึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาททั้งหมดในคดีนี้ต่อศาลภายใน 15 วันเพื่อดำเนินการตามคำพิพากษาต่อไป ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีนี้ผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกและกรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่ให้คำพิพากษาของศาลมีผลผูกพันบุคคลภายนอกตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ศาลจึงไม่อาจสั่งบังคับให้ผู้ร้องกระทำการตามที่โจทก์ประสงค์ได้ หากโจทก์เห็นว่าการที่ผู้ร้องไม่กระทำการตามที่โจทก์ประสงค์นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ก็ชอบที่โจทก์จะดำเนินการว่ากล่าวกับผู้ร้องต่อไป พิพากษากลับให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทต่อศาลเพื่อดำเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องเป็นผู้เก็บโฉนดที่ดินพิพาทไว้และไม่ยอมส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถดำเนินการบังคับคดีได้ ดังนี้โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทต่อศาลเพื่อดำเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้ คำสั่งของศาลเช่นว่านี้ย่อมไม่ทำให้ผู้ร้องสูญเสียสิทธิในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทแต่อย่างใด ทั้งโฉนดที่ดินพิพาทที่ส่งมอบต่อศาลก็เพื่อไปดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาเท่านั้น หาใช่เอาไปเสียจากการยึดถือครอบครองของผู้ร้องเลยทีเดียวไม่ ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ได้ฟ้องจำเลยให้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไว้ ก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้และยังได้ฟ้องโจทก์กับจำเลยในคดีนี้ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยอีกคดีหนึ่งด้วยนั้น หาใช่เหตุที่ศาลจะงดการบังคับคดีนี้ไว้ได้ หากผู้ร้องประสงค์จะขอคุ้มครองสิทธิอย่างใดในที่ดินพิพาทดังกล่าว ก็ชอบที่จะไปดำเนินการในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องอยู่นั้นได้ตามสิทธิ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำสั่งศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ

Share