คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3273/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การประเมินราคาอะไหล่รถยนต์ซึ่งเป็นของเทียม โดยวิธีลดราคาลงจากราคาของแท้ของรถรุ่นเดียวกันที่มีเมืองกำเนิดญี่ปุ่นร้อยละสามสิบเจ็ด ตามคำสั่งกองประเมินอากร ที่ 14/2520 นั้น จะต้องเป็นอะไหล่ของรถรุ่นเดียวกันที่มีเมืองกำเนิดญี่ปุ่น เมื่อไม่ปรากฏว่าสินค้าพิพาทที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นอะไหล่ของรถรุ่นเดียวกับอะไหล่แท้ที่จำเลยนำมาเปรียบเทียบเพื่อประเมินราคาสินค้า ทั้งไม่ได้ความว่าสินค้าพิพาทใช้กับรถยนต์อะไร ราคาสินค้าพิพาทที่โจทก์สำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า ซึ่งตรงกับเลตเตอร์ออฟเครดิต บัญชีราคาสินค้าและหลักฐานการชำระเงิน จึงเป็นราคาแท้จริงในท้องตลาด ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลและมีสิทธิเรียกคืนหรือไม่ เนื่องจากโจทก์มิได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินภาษีดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากรนั้น แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวไว้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นสาระแก่คดีอันควรวินิจฉัยจำเลยย่อมยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ การโต้แย้งการประเมินต่ออธิบดีกรมศุลกากร ไม่ถือว่าเป็นการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำเฟือง สตาร์ตเครื่องยนต์จากประเทศไต้หวันเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายและชำระภาษีอากรครบถ้วนแล้วต่อมาจำเลยได้กำหนดราคาสินค้าดังกล่าวขึ้นใหม่เพิ่มขึ้น ทำให้โจทก์ต้องชำระเงินค่าภาษีอากร ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มขึ้นให้จำเลยอีกรวม 129,577 บาท ขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีอากรขาเข้าดังกล่าวและให้จ่ายคืนเงินค่าภาษีอากรที่โจทก์ชำระเพิ่มพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า โจทก์กับผู้ขายร่วมกันทำเอกสารสำแดงราคาสินค้าให้ต่ำกว่าความจริง เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากรขาเข้า การประเมินชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวนตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีนางสาวสุวิมลธุระกิจประกร เป็นพยานเบิกความว่า สินค้าที่โจทก์สั่งซื้อยี่ห้อซินซิน ก่อนซื้อผู้ขายได้มีหนังสือระบุรายการสินค้าจำนวนเงิน การส่งและการบรรจุว่ามีจำนวน 1,209 ชิ้น ราคา4,750.54 ดอลล่าร์ สหรัฐอเมริกา ตามหนังสือโปรฟอร์มาอินวอยซ์เอกสารหมาย จ.2 โจทก์ได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตตามเอกสารหมาย จ.3บัญชีราคาสินค้าที่ซื้อขายเอกสารหมาย จ.4 และการชำระเงินตามเอกสารเรียกเก็บเงินเอกสารหมาย จ.6 ตลอดจนใบเสร็จรับเงินที่ธนาคารมหานคร จำกัด ออกให้ตามเอกสารหมาย จ.7 ต่างระบุราคาสินค้าพิพาทไว้เท่ากับราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการค้าเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งราคาดังกล่าวเป็นราคาแท้จริงในท้องตลาดโดยนำมาเป็นเกณฑ์คำนวณภาษีอากร ส่วนจำเลยมีนายศิริพันธ์ เกียรติไกรกุล ซึ่งเป็นผู้ประเมินสินค้าพิพาทเบิกความว่าได้นำราคาสินค้าพิพาทไปเปรียบเทียบกับสินค้าชนิดเดียวกันซึ่งเป็นของแท้และมีกำเนิดในประเทศญี่ปุ่นยี่ห้อนิปปอน เดนโซ่เอ็นดี และฮิตาชิ ซึ่งได้แจ้งราคาไว้ตามเอกสารหมาย จ.5, จ.6และ จ.7 โดยให้ส่วนลดร้อยละ 37 ของราคาดังกล่าว ทั้งนี้เป็นไปตามคำสั่งกองประเมินอากรที่ 14/2520 เรื่อง แนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่การประเมินตามเอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 ข้อ 12.1 โดยนายศิริพันธ์ได้บันทึกการเปรียบเทียบสินค้าพิพาทกับสินค้าของนิกโก้ ฮิตาชิ และเอ็นดี ไว้ตามบันทึกข้อความเอกสารหมายจ.8 เห็นว่าตามคำสั่งกองประเมินอากร ที่ 14/2520 เรื่อง แนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ประเมินอากร เอกสารหมาย ล.2 และ ล.3ข้อ 12.1 ระบุไว้ว่า “กรณีเป็นอะไหล่รถยนต์…ให้ประเมินราคาโดยลดจากราคาของแท้ของรถรุ่นเดียวกันที่มีเมืองกำเนิดญี่ปุ่นร้อยละสามสิบเจ็ด” นั้น ศาลฎีกาได้พิจารณาแล้วเห็นว่า อะไหล่รถยนต์ซึ่งเป็นของเทียมที่จะนำมาประเมินโดยลดราคาลงนั้นจะต้องเป็นอะไหล่ของรถรุ่นเดียวกันที่มีเมืองกำเนิดญี่ปุ่น แม้จำเลยจะนำสินค้าพิพาทมาเปรียบเทียบกับอะไหล่แท้ตามบันทึกข้อความเอกสารหมาย จ.8 แต่ก็ไม่ปรากฏว่าสินค้าพิพาทเป็นอะไหล่ของรถรุ่นเดียวกับอะไหล่แท้ที่นายศิริพันธ์นำมาเปรียบเทียบ ทั้งไม่ได้ความว่าสินค้าพิพาทใช้กับรถยนต์อะไร พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานโจทก์มีความสอดคล้องต้องกันมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าราคาที่โจทก์สำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเอกสารหมาย จ.1 เป็นราคาแท้จริงในท้องตลาดจำเลยประเมินราคาสินค้าพิพาทขึ้นใหม่จึงไม่ชอบ
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลและไม่มีสิทธิเรียกคืนเพราะโจทก์มิได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร และโจทก์แก้ฎีกาว่าจำเลยมิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ เพิ่งจะยกขึ้นมาในชั้นฎีกา ไม่สมควรที่จะรับฟังฎีกาจำเลยข้อนี้ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ปัญหาข้อนี้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวไว้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย การที่จำเลยประเมินภาษีการค้ากับภาษีบำรุงเทศบาลเป็นการประเมินเรียกเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้อุทธรณ์โต้แย้งการประเมินดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แม้จะฟังได้ว่าโจทก์ได้โต้แย้งการประเมินต่ออธิบดีกรมศุลกากรไว้ตามหนังสือลงวันที่ 9 มกราคม 2527 เรื่อง อุทธรณ์การตีราคาสินค้าเพิ่มเอกสารหมาย ล.11 ก็ไม่ถือว่าเป็นการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลจำนวน 32,969.40 บาทและ 3,296.94 บาท ตามลำดับ รวมเป็นเงิน 36,266.34 บาทคืนจากจำเลยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยส่วนนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการประเมินเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับอากรขาเข้า ให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีอากรขาเข้าจำนวน93,310.66 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share