คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3224/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายกัญชา จำเลยให้การรับว่าเสพและจำหน่ายกัญชา โจทก์ไม่คัดค้านและไม่สืบพยาน ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานเสพกัญชาและจำหน่ายกัญชา เมื่อโจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยไม่มีความผิดฐานเสพกัญชา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเช่นนี้ ย่อมมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยอาศัยข้อเท็จจริงโจทก์จึงฎีกาฐานนี้ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ฎีกาของโจทก์ที่ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นสอดคล้องกับข้อความในตอนต้นของคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ว่าโจทก์ฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพและศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัยอย่างชัดแจ้งว่าเหตุใดจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงรับฟังได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องทุกประการนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 เช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 26, 75, 76 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ จำเลยให้การรับว่าเสพและจำหน่ายกัญชาตามฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 26,75, 76 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เรียงกระทงลงโทษฐานเสพกัญชาจำคุก 2 เดือน ปรับ 500 บาท ฐานจำหน่ายกัญชา จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง จำคุกฐานเสพกัญชา 1 เดือน ปรับ 250 บาท โทษจำคุกให้ยกเสียฐานจำหน่ายกัญชา2 ปี จำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนและกัญชามีจำนวนน้อยโทษจำคุกเห็นควรให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของโจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่มีความผิดฐานเสพกัญชานอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายกัญชา จำเลยให้การรับสารภาพว่าเสพและจำหน่ายกัญชาตามฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานเสพกัญชาและจำหน่ายกัญชา ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเสพกัญชา ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานเสพกัญชาจึงไม่ชอบ และจำเลยไม่ได้ให้การรับสารภาพฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย โจทก์ไม่คัดค้านและไม่สืบพยานในประเด็นดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่มีความผิดฐานเสพกัญชา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยอาศัยข้อเท็จจริงโจทก์จึงฎีกาฐานนี้ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและสอดคล้องกับข้อความในตอนต้นของคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ว่าโจทก์ฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพ และศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัยอย่างชัดแจ้งว่า เหตุใดจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงรับฟังได้ว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการนั้น เห็นว่า ฎีกาโจทก์ดังกล่าวเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายกฎีกาโจทก์

Share