คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3020/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเนื่องจากลาออกจากราชการ และจำเลยเพิ่งได้รับเงินบำเหน็จมาจากเจ้าหน้าที่การเงินโดยที่เงินบำเหน็จนั้นยังมิได้ปะปนกับเงินอื่นของจำเลยจนแยกไม่ออกเช่นนี้ โจทก์จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดเงินบำเหน็จดังกล่าวจากจำเลยเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาหาได้ไม่

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์จึงขอให้บังคับคดีโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเงินบำเหน็จที่จำเลยที่ 1 เพิ่งรับมาจากเจ้าหน้าที่การเงิน จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการยึดเงินบำเหน็จ และส่งเงินคืนจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นสั่งว่าเงินที่ยึดไปมิใช่บำเหน็จของข้าราชการแล้วให้ยกคำร้อง จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการยึด และคืนเงินแก่จำเลยที่ 1 โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาของโจทก์มีใจความว่า เมื่อข้าราชการรับบำเหน็จไปแล้ว สิทธิเรียกร้องเงินบำเหน็จของข้าราชการที่มีต่อรัฐบาลก็หมดไป เงินบำเหน็จที่รับไปกลายเป็นเงินของข้าราชการผู้นั้นจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 286(2) ถ้าเงินบำเหน็จที่รับไปแล้วไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ประชาชนที่เกี่ยวข้องกับเงินบำเหน็จก็คงจะได้รับความเดือดร้อน พิเคราะห์แล้ว ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286(2) บัญญัติว่าภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่น สิทธิเรียกร้องเป็นเงินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่เป็นเงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ บำเหน็จและเบี้ยหวัดของข้าราชการหรือลูกจ้างของรัฐบาล และเงินสงเคราะห์หรือบำนาญที่รัฐบาลได้จ่ายให้แก่คู่สมรสหรือญาติที่ยังมีชีวิตของบุคคลเหล่านั้นไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีซึ่งมีผลทำให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่มีสิทธิขออายัดเงินเช่นว่านั้นเพื่อนำมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาก็โดยมีเจตนารมณ์จะให้ข้าราชการและลูกจ้างของรัฐบาลทั้งที่ยังรับราชการอยู่และพ้นจากราชการไปแล้วตลอดจนคู่สมรสหรือญาติที่ยังมีชีวิตของบุคคลเหล่านี้ที่ตามกฎหมายมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์หรือบำนาญได้มีเงินเลี้ยงชีพ การที่นำเงินเช่นว่านั้นมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาจึงเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของบทมาตราดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในทันทีที่จำเลยที่ 1 ได้รับเงินบำเหน็จจากเจ้าหน้าที่การเงิน ผู้แทนโจทก์ก็นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเงินบำเหน็จดังกล่าว ซึ่งเป็นที่เห็นได้ว่าเงินบำเหน็จนั้นยังมิได้ปะปนกับเงินอื่นของจำเลยที่ 1 จนแยกไม่ออกดังนั้น แม้จำเลยที่ 1 จะรับเงินบำเหน็จมาแล้ว โจทก์ก็ไม่มีอำนาจขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดเงินบำเหน็จจากจำเลยที่ 1มาชำระหนี้ตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share