แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลัง เป็นอาวัล แม้โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 2 นำเช็คของจำเลยที่ 1 มาชำระหนี้ของจำเลยที่ 2เองต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังไว้เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังเช็คและจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คแล้วเป็นอันถือได้ว่าจำเลยที่ 2 มีความผูกพันต่อโจทก์ตามเช็คพิพาทแม้การที่โจทก์ได้เช็คไว้ ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจะแตกต่างไปจากคำฟ้องบ้าง ก็ไม่ถึงกับทำให้คดีโจทก์เสียไป.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คจำนวนเงิน50,000 บาท ลงวันที่ 30 เมษายน 2527 เพื่อชำระหนี้ให้โจทก์โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คเป็นอาวัลให้โจทก์เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์ได้นำไปเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้รับฝากเช็คตามฟ้องจากผู้อื่นให้นำไปชำระหนี้แก่โจทก์ ส่วนหนี้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับบุคคลภายนอกจะมีต่อกันอย่างไร จำเลยที่ 2 ไม่ทราบขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 52,093.75 บาทให้แก่โจทก์ ถ้าไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน และให้จำเลยร่วมกันเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งของเงินจำนวน 50,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์โดยมีจำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อสลักหลัง แต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 2นำเช็คของจำเลยที่ 1 มาชำระหนี้ของจำเลยที่ 2 เองต่อโจทก์โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังไว้เป็นการนำสืบข้อเท็จจริงต่างจากฟ้องนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาทและจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คแล้ว เป็นอันถือได้ว่าจำเลยที่ 2 มีความผูกพันต่อโจทก์ตามเช็คพิพาท แม้การที่โจทก์ได้เช็คไว้ ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจะแตกต่างไปจากคำฟ้องบ้างก็ไม่ถึงกับทำให้คดีโจทก์เสียไป
พิพากษายืน.