คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2268/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เฮโรอีนของกลางอยู่ในกระเป๋าเดินทางของจำเลย จำเลยเตรียมจะนำออกไปนอกราชอาณาจักรไทยพร้อมกับจำเลย โดยจำเลยมีหนังสือเดินทางและตั๋วโดยสารเครื่องบินพร้อมที่จะเดินทางโดยมีกระเป๋าบรรจุเฮโรอีนของกลางไปด้วยเช่นนี้ จำเลยจึงเป็นผู้ครอบครองเฮโรอีนของกลางอันถือได้ว่าเป็นตัวการในการกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย หาใช่เพียงผู้สนับสนุนไม่ เฮโรอีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 1,297 กรัม ซึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติว่า การผลิต นำเข้า ส่งออกหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไป ให้ถือว่าผลิต นำเข้าส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยจะเถียงว่าไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่ายหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66, 102 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 4 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2522) เรื่อง ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522ลงวันที่ 17 กันยายน 2522 ข้อ 1(1) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ริบเฮโรอีนและซองแผ่นเสียงที่ใช้ซุกซ่อนเฮโรอีนของกลาง คืนหนังสือเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน บัตรที่นั่งบนเครื่องบินและป้ายผูกติดกระเป๋าของกลางแก่เจ้าของ จำเลยให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง และมาตรา 65 วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(2)คงจำคุกตลอดชีวิต ริบเฮโรอีนและซองแผ่นเสียงที่ใช้ซุกซ่อนเฮโรอีนของกลาง นอกนั้นคืนเจ้าของ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า จำเลยไม่มีเจตนาที่จะกระทำความผิด เหตุที่ของกลางมาอยู่ในความครอบครองของจำเลยก็เนื่องมาจากจำเลยได้รับจ้างจากเพื่อนชาวฮ่องกงคนหนึ่งให้นำแผ่นเสียงไปส่งที่ประเทศสิงคโปร์ในราคาค่าจ้างห้าหมื่นบาทจำเลยเห็นว่าเป็นรายได้ดีและก็ไม่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย จึงได้รับจ้างดังกล่าว ครั้นเมื่อถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจพบของกลางในซองแผ่นเสียงดังกล่าว จำเลยจึงทราบว่าถูกหลอกให้กระทำผิดนั้นเห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวของจำเลยเลื่อนลอยปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุน ปรากฏว่านายสุรชัย กลับประสิทธิ์ เจ้าหน้าที่ศุลการักษ์3 กรมศุลกากร จับกุมจำเลยได้พร้อมเฮโรอีนของกลางบรรจุอยู่ภายในซองแผ่นเสียงซึ่งทำช่องลับไว้เป็นพิเศษ และแผ่นเสียงดังกล่าวบรรจุอยู่ในกระเป๋าเดินทางของจำเลย ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และชั้นพิจารณา จำเลยให้การรับสารภาพ นายสุรชัยเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ ไม่เคยมีสาเหตุกับจำเลยไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย คดีฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องจริง ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า มีผู้จ้างวานใช้ให้จำเลยนำเฮโรอีนของกลางไปส่งต่อเท่านั้น จำเลยจึงเป็นเพียงผู้สนับสนุน ไม่ใช่เป็นตัวการในการกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น เห็นว่า เฮโรอีนของกลางอยู่ในกระเป๋าเดินทางของจำเลยจำเลยเตรียมจะนำออกไปนอกราชอาณาจักรไทยพร้อมกับจำเลย โดยจำเลยมีหนังสือเดินทางและตั๋วโดยสารเครื่องบินพร้อมที่จะเดินทางโดยมีกระเป๋าบรรจุเฮโรอีนของกลางไปด้วยเช่นนี้ จำเลยจึงเป็นผู้ครอบครองเฮโรอีนของกลางอันถือได้ว่าเป็นตัวการในการกระทำความผิดแล้ว หาใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนดังที่จำเลยฎีกาไม่ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 นั้น เป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ศาลฎีกาเห็นว่าเฮโรอีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 1,297 กรัม ซึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติว่า การผลิต นำเข้าส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไปให้ถือว่าผลิตนำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ดังนี้ จำเลยจะเถียงว่าไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่ายหาได้ไม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้น เช่นกัน
สำหรับฎีกาจำเลยข้อสุดท้ายที่ขอให้ลดหย่อนผ่อนโทษในสถานเบาที่สุดนั้น เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ลงโทษจำเลยประหารชีวิตแต่เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบกับมาตรา 52(2) คงจำคุกตลอดชีวิตนั้น นับว่าเป็นการใช้ดุลพินิจในการลดโทษให้แก่จำเลยเหมาะสมกับความผิดที่จำเลยกระทำแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะใช้ดุลพินิจลดโทษให้แก่จำเลยเบาไปกว่านี้อีก ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาคดีมานั้น ชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share