คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางเป็นเวลา 2 ปี นั้น ไม่เป็นการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18 แต่เป็นวิธีการสำหรับเด็กตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 74(5) ที่เบากว่าการลงโทษจำคุก เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่า มิใช่เด็กเร่ร่อนจรจัด มีบิดามารดาให้ความอบอุ่นและหลักฐานบ้านช่องพร้อมที่จะให้ความรับรองต่อศาลจำเลยยังศึกษาอยู่ในโรงเรียน จำเลยมิได้มีเถยจิตหรือสันดานเป็นอาชญากร ขอใช้วิธีการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 อนุ (1) ถึง (3)นั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้ แต่ถ้าจำเลยหรือบิดามารดาจำเลยเห็นว่า พฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป ก็ย่อมมีสิทธิที่จะไปร้องต่อศาลชั้นต้น เพื่อขอให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งหรือสั่งใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,343, 83, 91 พระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ. 2487 มาตรา 5,8, 17 จำเลยที่ 5 ที่ 11 ที่ 13 และที่ 14 ให้การรับสารภาพ จำเลยอื่นนอกนั้นให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343, 83, 91 พระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ. 2487 มาตรา 5, 8, 17 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 ซึ่งเป็นบทหนัก จำเลยที่ 11 ที่ 13 และที่ 14 อายุยังไม่เกิน 14 ปี ไม่ต้องรับโทษ จึงให้ส่งไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางเป็นเวลา 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 5 ให้จำคุก 2 ปีจำเลยให้การรับสารภาพ เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุกจำเลยที่ 5 มีกำหนด 1 ปีจำเลยที่ 11 ที่ 13 และที่ 14 อุทธรณ์ขอให้ลงโทษโดยใช้วิธีการอื่นไม่ใช่วิธีส่งไปสถานฝึกและอบรม ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 11ที่ 13 และที่ 14 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่าที่ศาลชั้นต้นส่งตัวจำเลยที่ 11ที่ 13 และที่ 14 ไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางเป็นเวลา2 ปีนั้นไม่เป็นการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 แต่เป็นวิธีการสำหรับเด็กตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74(5) ที่เบากว่าการลงโทษจำคุก เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ที่จำเลยที่ 11 ที่ 13 และที่ 14 ฎีกาว่า มิใช่เด็กเร่ร่อนจรจัด มีบิดามารดาให้ความอบอุ่นและหลักฐานบ้านช่องพร้อมที่จะให้ความรับรองต่อศาล จำเลยที่ 14 ยังศึกษาอยู่ในโรงเรียนจำเลยทั้งสามมิได้มีเถยจิตหรือสันดานเป็นอาชญากร ขอใช้วิธีการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 อนุ (1) ถึง (3) แล้วแต่เห็นสมควรนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้ แต่ถ้าจำเลยหรือบิดามารดาของจำเลยเห็นว่าพฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป ก็ย่อมมีสิทธิที่จะไปร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งหรือสั่งใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 วรรคท้าย”
พิพากษายกฎีกาจำเลยทั้งสาม

Share