คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1680/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นพนักงานสอบสวนจะทำการสอบสวนที่ใด เวลาใดก็ได้แล้วแต่จะเห็นสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 130การที่จำเลยสอบถามข้อเท็จจริงบางประการจากโจทก์ที่โรงพยาบาลแล้วไปจดลงในคำให้การของโจทก์ที่สถานีตำรวจอันเป็นที่ทำการของจำเลยภายหลัง โดยระบุว่าสอบสวนที่สถานีตำรวจ เพียงเหตุเท่านี้หาเป็นการทำและรับรองเอกสารอันเป็นเท็จไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานสอบสวนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหา และได้ทำหลักฐานอันเป็นเท็จว่าได้สอบสวนโจทก์แล้ว โดยมิได้มีการสอบสวนขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91, 157, 162ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณา จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 162 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนัก ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไปสอบถามโจทก์ที่โรงพยาบาลขณะโจทก์รักษาตัวอยู่ แต่ลงในบันทึกคำให้การเอกสารหมาย ล.1 ว่าให้การที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเก้าเลี้ยว เป็นการทำและรับรองเอกสารอันเป็นความเท็จนั้น เห็นว่า จำเลยเป็นพนักงานสอบสวนจะทำการสอบสวนที่ใด เวลาใดก็ได้แล้วแต่จะเห็นสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 130 การที่จำเลยทำการสอบถามข้อเท็จจริงบางประการจากโจทก์ที่โรงพยาบาลแล้วไปจดลงในคำให้การของโจทก์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเก้าเลี้ยวอันเป็นที่ทำการของจำเลยภายหลังโดยระบุว่าสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเก้าเลี้ยว เพียงเหตุเท่านี้หาเป็นการทำและรับรองเอกสารอันเป็นเท็จไม่”
พิพากษายืน

Share