คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1481/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดและรักษาความปลอดภัยในบริเวณเคหะชุมชนคลองจั่น ต่อมาจำเลยที่ 1ได้อนุมัติให้คณะกรรมการอาคารชุดเคหะชุมชนคลองจั่นซึ่งมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 เป็นกรรมการไปดำเนินการและรับผิดชอบในการบริหารงานจำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 มีอำนาจอิสระอย่างเด็ดขาดไม่จำต้องฟังคำสั่งของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องเพียงแต่ให้เงินอุดหนุนเท่านั้น จึงไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2ถึงที่ 61 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการดำเนินการดังกล่าว การจ้างงานระหว่างจำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 กับโจทก์เพื่อทำงานรักษาความสะอาด และรักษาความปลอดภัยในบริเวณเคหะชุมชน เป็นการจ้างงานที่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงกำไรในทางเศรษฐกิจ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการให้เช่าซื้ออาคารชุดเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย จำเลยที่ 1 ได้จัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการชุมชนขึ้นจากบุคคลที่เช่าอาคารชุดของจำเลยที่ 1อาคารชุดละ 2 คน เพื่อทำหน้าที่ควบคุมดูแลทรัพย์สินของจำเลยที่ 1รักษาความปลอดภัยและความสะอาดภายในบริเวณสถานที่ของจำเลยที่ 1โดยให้คณะกรรมการมีอำนาจว่าจ้างบุคคลมาดำเนินกิจการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามความประสงค์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายจำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 เป็นคณะกรรมการชุมชน มีหน้าที่กำหนดนโยบายการบริหารชุมชน ซึ่งมีอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นที่ตั้งการเคหะแห่งชาติคลองจั่น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 โดยมติคณะกรรมการได้ตกลงจ้างโจทก์ทั้งสิบห้าเข้าทำงานเป็นลูกจ้างประจำ โจทก์ที่ 1ถึงที่ 13 และที่ 15 ทำงานตำแหน่งพนักงานรักษาความปลอดภัยภายในเขตชุมชนคลองจั่น จำเลยกำหนดจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทุกวันที่ 5ของทุกเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2531 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้ง 15 คน โดยโจทก์มิได้กระทำความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าไม่จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย นับแต่วันที่โจทก์เข้าทำงาน จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย และไม่ได้กำหนดให้โจทก์หยุดพักผ่อนประจำปี โจทก์มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีไม่น้อยกว่าปีละ 6 วันขอให้บังคับจำเลยชำระค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าจ้างค้างจ่ายและค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี ตามบัญชีรายละเอียดท้ายฟ้องพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันมีสิทธิได้รับจนถึงวันชำระเสร็จให้แก่โจทก์ทั้งสิบห้า จำเลยที่ 1ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยรับโจทก์ทั้งสิบห้าเข้าทำงานเป็นลูกจ้างไม่ว่าในตำแหน่งหน้าที่ใด จึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 ให้การเป็นทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2ถึงที่ 61 เป็นคณะกรรมการอาคารชุดเคหะชุมชนคลองจั่นชุดที่ 5ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมกระทำกิจการอันเป็นสาธารณประโยชน์ของชุมชน รักษาความปลอดภัยและรักษาความสะอาดภายในบริเวณสถานที่ของจำเลยที่ 1 คณะกรรมการอาสาสมัครเข้าทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนและไม่มีวัตถุประสงค์แสวงกำไรในทางเศรษฐกิจโจทก์ทั้งสิบห้าไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินกิจการต่าง ๆ ไปตามความประสงค์ของจำเลยที่ 1และเพื่อผลประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ดังนั้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 61จึงมีฐานะเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง และฟ้องโจทก์ที่ให้จำเลยที่ 9,18, 26, 36, 56 และ 59 รับผิดไม่เคลือบคลุม ฟังได้ว่าโจทก์แต่ละคนเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 ไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นนายจ้างของโจทก์ทั้งสิบห้า การดำเนินกิจการของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 มิได้มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจเพื่อแสวงกำไรในทางเศรษฐกิจ พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 จ่ายค่าจ้างในส่วนที่ยังต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้แก่โจทก์ทั้งสิบห้าคนละ 1,005 บาท และให้จำเลยที่ 2ถึงที่ 61 จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ทั้งสิบห้าคนละ 2,190 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 17 มีนาคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องส่วนที่ฟ้องจำเลยที่ 1 โจทก์ทั้งสิบห้าอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมจำเลยที่ 1 จ้างเหมาบริษัทเอกชนดำเนินการเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดและรักษาความปลอดภัยในบริเวณเคหะชุมชนคลองจั่นต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2526 รองประธานคณะกรรมการอาคารชุดเคหะชุมชนคลองจั่น ชุดที่ 3 ได้มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 เสนอโครงการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย การรักษาความปลอดภัยและการรักษาความสะอาดในบริเวณเคหะชุมชนคลองจั่นไปให้จำเลยที่ 1 พิจารณาสนับสนุนและเมื่อจำเลยที่ 1 อนุมัติ คณะกรรมการก็รับงานดังกล่าวมาดำเนินการและรับผิดชอบเอง เห็นว่า ตามพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 ซึ่งเป็นคณะกรรมการอาคารชุดเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย การรักษาความปลอดภัยและการรักษาความสะอาดเอง จำเลยที่ 1 เพียงแต่ให้เงินอุดหนุนเท่านั้นสำหรับการบริหารงานจำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 มีอำนาจอิสระอย่างเด็ดขาดโดยไม่จำต้องฟังคำสั่งของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในการบริหารงานของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 กรณีไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น…
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความว่า โจทก์ทั้งสิบห้าเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ดังนั้น แม้กิจการของจำเลยที่ 1 เป็นกิจการที่แสวงกำไรในทางเศรษฐกิจก็หาทำให้กิจการของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 กลายเป็นกิจการที่แสวงกำไรในทางเศรษฐกิจไปด้วยไม่ เพราะได้วินิจฉัยในอุทธรณ์ข้อแรกแล้วว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 ไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยที่ 1 กิจการของจำเลยที่ 1 แยกต่างหากจากกิจการของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 61 เป็นการจ้างงานที่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงกำไรในทางเศรษฐกิจศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share