คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4153/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ว่าจ้างโจทก์ให้ปรับปรุงที่ดินของจำเลยที่ 1 และบอกเลิกสัญญากับโจทก์ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสของจำเลยที่เป็นการกระทำในหน้าที่ในฐานะที่เป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคล จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นวัดในพุทธศาสนาและเป็นนิติบุคคลจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าอาวาสของจำเลยที่ ๑ และอาจนำเอาฐานะของตนเองไปทำการต่าง ๆ กับบุคคลอื่น ๆ ได้ จึงต้องรับผิดชอบในฐานะส่วนตัวด้วย จำเลยที่ ๓ เป็นตัวแทนจัดที่ดินของจำเลยที่ ๑ ให้ประชาชนอยู่อาศัย จำเลยทั้งสามจ้างโจทก์ปรับปรุงที่ดินของโจทก์รวม ๗ รายการ การว่าจ้างมิได้ทำเป็นหนังสือ โจทก์ทำงานไป ๒๒ วันงานเสร็จถึง ๔๕ เปอร์เซ็นต์ หากทำต่ออีก ๒๒ วัน งานก็เสร็จเรียบร้อยแต่จำเลยทั้งสามสั่งให้โจทก์หยุดทำงาน และขนย้ายเครื่องมือออกไปจากที่ดินของจำเลย โดยโจทก์มิได้ทำงานผิดข้อตกลง ทำให้โจทก์เสียหายเป็นเงิน ๔๕๑,๔๗๕ บาท ขอให้บังคับจำเลยให้โจทก์กลับเข้าทำงานในที่ดินของจำเลยจนเสร็จ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันใช้ค่าเสียหายดังกล่าวก่อนโจทก์จะดำเนินการในที่ดินของจำเลยต่อไป กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันชำระดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า เป็นแต่เพียงผู้ติดต่อให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไปตกลงกับโจทก์เท่านั้น จึงไม่ต้องรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จำเลยที่ ๓ มิได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ บอกให้โจทก์งดทำงานเพราะโจทก์มิได้ผิดสัญญา โจทก์ไม่เสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๒๒๑,๔๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออย่างอื่นเกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ นอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๓
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญาและวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ส่วนจำเลยที่ ๒ นั้นโจทก์ฟ้องให้รับผิดตามสัญญาในฐานะส่วนตัว แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ ว่าจ้างโจทก์ให้ปรับปรุงที่ดินของจำเลยที่ ๑ และบอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ ๑ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสของจำเลยที่ ๑ เป็นการกระทำในหน้าที่ในฐานะที่เป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคล จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว ฯลฯ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหาย ๒๒๑,๔๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share