แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเคยกล่าวคำอาฆาตผู้ตายไว้เนื่องจากจำเลยซื้อสลากกินรวบจากผู้ตายถูกรางวัล 20,000 บาท แต่ผู้ตายจ่ายเพียง 1,000 บาทวันเกิดเหตุ ป. ชวนผู้ตายไปซื้อสุรา จำเลยอาสาจะไปกับผู้ตายผู้ตายไม่ยอมไปด้วย จำเลยว่าถ้าไปก็เรียบร้อย เมื่อ ป. คนเดียวไปซื้อสุรา ผู้ตายกับจำเลยเกิดโต้เถียงกันอย่างรุนแรง มีผู้เข้ามาห้าม จำเลยกลับไปที่บ้านซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 500 เมตรเอาปืนลูกซองสั้นย้อนกลับมาที่บ้าน ป. ลอดใต้ถุนบ้านเข้าไปและยิงผู้ตาย ดังนี้ ระยะทางไปกลับจากบ้าน ป.กับบ้านจำเลยประมาณ 1 กิโลเมตร จำเลยย่อมมีโอกาสคิดทบทวนว่าสมควรจะฆ่าผู้ตายหรือไม่ พฤติการณ์ที่จำเลยลอดใต้ถุนบ้านเข้าไปยิงผู้ตายก็เพื่อปกปิดมิให้ผู้อื่นเห็น การกระทำของจำเลยเป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289,288, 80, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิจำเลยให้การปฏิเสธ แต่หลังจากสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว จำเลยแถลงขอให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 288, 80, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าเป็นกรรมเดียวกัน ลงโทษตามมาตรา 288 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 15 ปีฐานมีปืน จำคุก 1 ปี และฐานพาปืน จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 16 ปี6 เดือน โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ให้ประหารชีวิต จำเลยรับสารภาพชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเมื่อสืบพยานโจทก์ใกล้เสร็จแล้ว จึงลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(1) ให้จำคุกตลอดชีวิต ส่วนที่ศาลชั้นต้น กำหนดโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ นั้น จะนำมารวมอีกไม่ได้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติว่า จำเลยได้ใช้ปืนลูกซองสั้นยิงนายใจ ตาเม่น 1 นัด โดยเจตนาฆ่า นายใจได้ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย และกระสุนปืนยังได้ถูกนายเปล่ง เพ็งมา กับนายบุญเลิศ ประเสริฐศรี ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกาเพียงว่า จำเลยได้ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ โจทก์นำสืบว่าก่อนเกิดเหตุประมาณ 5 เดือน จำเลยซื้อสลากกินรวบจากผู้ตายซึ่งเป็นคนเดินโพยจำเลยอ้างว่าถูกรางวัลเป็นเงิน 20,000 บาท ผู้ตายอ้างว่าบัญชีโพยของเจ้ามือไม่มี แต่ผู้ตายก็ยอมจ่ายเงินให้จำเลยเป็นเงิน1,000 บาท จำเลยกล่าวคำอาฆาตผู้ตายไว้ ครั้นวันที่ 26 มิถุนายน2530 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา นายเปล่ง นายบุญเลิศ ผู้เสียหายทั้งสองผู้ตาย นายพล บุญนารักษ์ นายสมใจ ศรีสุหา และนายปลื้ม โพธิ์เกิด บิดาจำเลย กลับจากตรวจงาน กสช. ตำบลกุดตาเพชรมาถึงบ้านนายปลื้ม ขณะนั้นจำเลยมาอยู่ที่บ้านนายปลื้มด้วยนายปลื้มชวนผู้ตายไปซื้อสุรา จำเลยรับอาสาจะไปกับผู้ตายเองแต่ผู้ตายไม่ไปด้วย จำเลยว่าถ้าไปก็เรียบร้อย นายปลื้มจึงออกไปซื้อสุราเพียงคนเดียว หลังจากนายปลื้มออกจากบ้านไปแล้วจำเลยกับผู้ตายก็ได้โต้เถียงกันอย่างรุนแรงเรื่องสลากกินรวบอีกนายเปล่งผู้เสียหายเข้าห้ามปราม จำเลยก็ออกไป นายปลื้มซื้อสุรากลับมาเมื่อเวลาประมาณ 22 นาฬิกา แล้วได้รินสุราแจกแต่ยังไม่ทันได้ดื่มกัน จำเลยก็เข้ามาทางใต้ถุนบ้านแล้วยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย
จำเลยไม่สืบพยาน
พิเคราะห์แล้ว สาเหตุที่จำเลยยิงผู้ตายก็เนื่องมาจากที่ผู้ตายไม่ยอมจ่ายเงินรางวัลสลากกินรวบให้แก่จำเลย แม้นายเปล่งผู้เสียหายและนายปลื้มบิดาจำเลยซึ่งเป็นเพื่อนกับผู้ตายจะไกล่เกลี่ยให้เลิกแล้วต่อกัน แต่จำเลยก็ยังติดใจในเรื่องนี้อยู่อีก โดยได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสองและนายสมใจ ศรีสุหา พยานโจทก์ว่าวันเกิดเหตุเมื่อมาถึงบ้านนายปลื้มพบจำเลยอยู่บ้าน นายปลื้มชวนผู้ตายไปซื้อสุรา จำเลยรับอาสาจะไปกับผู้ตายเอง แต่ผู้ตายไม่ไปด้วยจำเลยว่าถ้าไปก็เรียบร้อย ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่าจำเลยยังโกรธเคืองผู้ตายอยู่ นายปลื้มจึงออกไปซื้อสุราเพียงคนเดียวผู้เสียหายทั้งสองเบิกความว่าหลังจากที่นายปลื้มออกไปแล้ว จำเลยกับผู้ตายก็โต้เถียงกันอย่างรุนแรง นายปลั่งผู้เสียหายเข้าห้ามปราม จำเลยก็ออกไปไม่ทราบว่าไปทางไหน จำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า จำเลยกลับไปที่บ้านของจำเลยซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ500 เมตร เอาปืนลูกซองสั้นแล้วย้อนกลับมาที่บ้านนายปลื้มบิดาลอดใต้ถุนบ้านเข้าไปและยิงผู้ตาย เห็นว่าบ้านจำเลยกับบ้านนายปลื้มบิดาอยู่ห่างกันประมาณ 500 เมตร ระยะทางไปกลับรวมกันแล้วประมาณ 1 กิโลเมตร ในระหว่างไปและกลับนั้น จำเลยย่อมมีโอกาสคิดทบทวนว่าสมควรจะฆ่าผู้ตายหรือไม่ กับเมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ที่จำเลยลอดใต้ถุนบ้านนายปลื้มบิดาเข้าไปเพื่อปกปิดไม่ให้ผู้อื่นเห็นและยิงผู้ตาย แสดงให้เห็นถึงความไตร่ตรองไว้ก่อนของจำเลยที่จะฆ่าผู้ตาย มิใช่กรณีที่จำเลยเกิดโทสะรีบกลับไปเอาปืนที่บ้านแล้วย้อนกลับมายิงผู้ตายต่อหน้าต่อตาและต่อหน้าบุคคลอื่น ๆ ดังที่จำเลยฎีกา ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน