แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โดยปกติการเช่าทรัพย์ย่อมอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะเช่าทรัพย์ หากผู้ใดจะอ้างความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษ ก็ต้องยกขึ้นต่อสู้คดี เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 บัญญัติให้จำเลยแสดงโดยแจ้งชัดในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือบางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ดังนี้เมื่อจำเลยฟ้องขอให้โจทก์เลิกใช้ทรัพย์ของจำเลยตามสัญญาเช่าโจทก์มีสิทธิ หรือได้รับความคุ้มครองที่จะมิให้ต้องเลิกใช้ทรัพย์ที่เช่า ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524โจทก์ต้องยกขึ้นแสดงรวมทั้งเหตุผล เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างสิทธิหรือความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษจนศาลวินิจฉัยคดีไป และคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จะมายกกฎหมายพิเศษขึ้นกล่าวอ้างในชั้นบังคับคดีอีกหาได้ไม่
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งห้าและบริวารรื้อถอนบ้านเรือน ขนย้ายสัมภาระออกไปจากที่ดินจำเลย และให้ใช้ค่าเสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี โจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ยื่นคำร้องอ้างว่าโจทก์ที่ 3ที่ 5 มีสิทธิเช่านา จำเลยยังไม่ได้บอกเลิกการเช่าตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 และพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ทั้งบ้านเรือนโจทก์ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและโจทก์ที่ 1 ที่ 4 ไม่ใช่บริวารของโจทก์ที่ 3 ที่ 5 ขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วและข้อเท็จจริงฟังได้ว่าฝ่ายโจทก์เป็นผู้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลย เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าจำเลยได้บอกเลิกการเช่าโดยชอบด้วยกฎหมายสัญญาเช่าที่ดินพิพาทย่อมสิ้นสุดลง โจทก์หยิบยกเอาพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ซึ่งไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทมาก่อนขึ้นต่อสู้ในชั้นนี้ จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นเป็นเรื่องไร้สาระที่ศาลไม่พึงรับวินิจฉัยโจทก์และบริวารจำต้องรื้อถอนบ้านเรือนขนย้ายสัมภาระออกไปจากที่ดินพิพาท โจทก์ที่ 1ที่ 3 และที่ 5 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ศาลพิพากษาให้โจทก์ทั้งห้าและบริวารรื้อถอนบ้านเรือน ขนย้ายสัมภาระออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 11, 41 ตำบลกรับใหญ่ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี คดีถึงที่สุด โจทก์ทั้งห้าไม่ปฏิบัติตามจำเลยขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีโจทก์ทั้งห้า มีประเด็นมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาว่าโจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 จะขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดีโดยอ้างว่าโจทก์ที่ 3 และที่ 5 ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติ ควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 และพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ได้หรือไม่เห็นว่าการเช่าทรัพย์โดยปกติย่อมอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะเช่าทรัพย์ หากโจทก์ที่ 3 และที่ 5 จะอ้างความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษอย่างใดก็ต้องยกขึ้นต่อสู้คดี เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 บัญญัติว่า ให้จำเลยแสดงโดยแจ้งชัดในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือบางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น คดีนี้จำเลยฟ้องขอให้โจทก์ที่ 3 และที่ 5 เลิกใช้ทรัพย์ของจำเลยตามสัญญาเช่า โจทก์ที่ 3 และที่ 5 มีสิทธิหรือได้รับความคุ้มครองที่จะมิให้โจทก์ที่ 3และที่ 5 ต้องเลิกใช้ทรัพย์ที่เช่าอย่างใด โจทก์ที่ 3 และที่ 5 ต้องยกขึ้นแสดงรวมทั้งเหตุผล เมื่อโจทก์ที่ 3 และที่ 5 ไม่ได้อ้างสิทธิหรือความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษจนศาลวินิจฉัยคดีไป และคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ที่ 3 และที่ 5 จะมายกกฎหมายพิเศษขึ้นกล่าวอ้างในชั้นบังคับคดีอีกหาได้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน