แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเก็บแร่ไว้ในระหว่างที่ใบอนุญาตเดิมหมดอายุแม้ภายหลังจำเลยจะได้รับใบอนุญาตให้เก็บแร่ได้อีกใบอนุญาตใหม่ก็ไม่มีผลย้อนหลังไปลบล้างหรืออภัยความผิดก่อนได้รับอนุญาต.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2524 เวลากลางวันจำเลยทั้งสองร่วมกันมีแร่พลวงน้ำหนัก 71,133 กิโลกรัม มูลค่าแร่1,523,880 บาท ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตและมิได้เสียค่าภาคหลวง ทั้งร่วมกันเก็บแร่ดังกล่าวในทางธุรกิจไว้ ณ โกดังแร่เก็บแร่ของจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งสถานที่เก็บแร่ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 101, 105, 143, 148,154 พระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2522 มาตรา 18, 21, 27 และสั่งริบแร่พลวงของกลางทั้งหมด
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 101, 143, 154 ให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสองคนละ 2,000 บาทของกลางริบ ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่6 พฤศจิกายน 2524 มีสายลับแจ้งให้พันตำรวจตรีศุภโชค เอี่ยมรัศมี(ยศขณะเบิกความ) ซึ่งขณะเกิดเหตุรับราชการเป็นหัวหน้าหน่วยสืบสวนปราบปรามภาคตะวันออกว่าสงสัยจะมีของผิดกฎหมายอยู่ในโกดังของห้างหุ้นส่วนจำกัดย่งไท้เชียงรุ่งเรือง จำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ที่อำเภอพนัสนิคม พันตำรวจตรีศุภโชคจึงนำกำลังตำรวจไปยังโกดังดังกล่าวและได้ตรวจค้นภายในโกดัง ผลการตรวจค้นได้พบแร่พลวงเงินและแร่พลวงทองบรรจุอยู่ในกระสอบป่านประมาณ 2,000 กระสอบ ต่อมาวันที่ 9 เดือนเดียวกัน ได้ร่วมกับนายอรรณพ กลิ่นทอง วิศวกรเหมืองแร่จังหวัดชลบุรี ชั่งน้ำหนักแร่ดังกล่าว ปรากฏว่ามีน้ำหนัก 71 ตันเศษ ในวันไปชั่งแร่นั้นได้ทราบว่านางพรพิศ ลี้กำจรจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของโกดัง และนางพรพิศได้ให้พนักงานนำใบอนุญาตให้ตั้งสถานที่เก็บแร่ ใบอนุญาตให้ขนแร่ รวม 6 ฉบับ มาแสดงปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.7 ใบอนุญาตดังกล่าวอนุญาตให้ขนแร่ได้ 70 ตัน แร่ที่มีอยู่ในโกดังจึงมีน้ำหนักเกินไป 1 ตันเศษสำหรับใบอนุญาตให้เก็บแร่นั้น หมดอายุเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2523
จำเลยทั้งสองนำสืบว่า แร่ของกลาง จำเลยได้รับอนุญาตตามกฎหมายแล้ว มีจำนวน 70 ตัน ตอนนำมาเก็บที่โกดังนางพรพิศ ลี้กำจร จำเลยที่ 2 ได้ชั่งด้วยตนเองมีน้ำหนัก 70 ตัน พอดี ใบอนุญาตให้เก็บแร่ที่ขาดอายุนั้น นางพรพิศได้ใช้ให้นายสมพล ไทยถาพร ไปขอต่ออายุเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2524 นายสมพลไปขอต่ออายุต่อนายอุบล นาวุฒิซึ่งขณะนั้นเป็นทรัพยากรธรณีจังหวัดชลบุรี แต่นายอุบลแจ้งว่าต้องนำสำเนาใบอนุญาตขนแร่จากทรัพยากรธรณีมาแสดงด้วย และนัดให้มาใหม่ในวันที่ 9 เดือนเดียวกัน แต่เย็นวันที่ 6 เดือนนั้นเจ้าหน้าทีตำรวจก็มาอายัดแร่ของจำเลย ทรัพยากรธรณีจังหวัดชลบุรีได้ออกใบอนุญาตให้เก็บแร่แก่จำเลยแล้วในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2524ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาเพียงว่า การที่จำเลยทั้งสองเก็บแร่ไว้ในระหว่างที่ใบอนุญาตเก็บแร่เดิมหมดอายุ แต่หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบการกระทำผิดของจำเลยทั้งสองแล้ว จำเลยทั้งสองก็ได้รับใบอนุญาตให้เก็บแร่ได้ใหม่เช่นนี้ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ ปรากฏว่าจำเลยนำสืบยอมรับว่าใบอนุญาตเก็บแร่ของจำเลยหมดอายุในวันที่31 ธันวาคม 2523 และพันตำรวจตรีศุภโชคพบการกระทำผิดของจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2524 แต่เจ้าหน้าที่เพิ่งออกใบอนุญาตให้จำเลยใหม่เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2524 เช่นนี้ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2524 ซึ่งเป็นวันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพบการกระทำผิดของจำเลย จำเลยย่อมได้ชื่อว่าเก็บแร่ไว้โดยไม่มีใบอนุญาตที่จำเลยนำสืบว่า ได้ยื่นคำขอต่อใบอนุญาตตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน2524 อันเป็นวันก่อนวันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพบการกระทำผิดของจำเลยนั้น เห็นว่าไม่น่าเชื่อ เพราะนายอุบล นาวุฒิ ซึ่งขณะเกิดเหตุรับราชการเป็นทรัพยากรธรณีจังหวัดชลบุรี ได้มาเบิกความเป็นพยานจำเลยว่า จำเลยมายื่นขอต่ออายุประมาณวันที่ 19 พฤศจิกายน 2524การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเก็บแร่ไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตดังฟ้อง แม้ภายหลังจำเลยจะได้รับใบอนุญาตให้เก็บแร่ได้อีกใบอนุญาตใหม่ก็มีข้อความเพียงว่าใช้ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2524ไม่มีทางที่จะแปลว่าจะใช้ให้มีผลย้อนหลังไปลบล้างหรืออภัยความผิดที่เก็บแร่ไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นการเก็บโดยได้รับอนุญาตได้…”
พิพากษายืน