คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์เช่าซื้อรถยนต์คันที่เอาประกันภัยมาใช้ในกิจการของโจทก์โดยมอบหมายให้ พ. ผู้ถือหุ้นของบริษัทโจทก์เป็นผู้ดำเนินกิจการทุกอย่างเกี่ยวกับรถยนต์ของโจทก์ พ. นำรถยนต์คันดังกล่าวไปทำประกันภัยไว้กับจำเลยแทนโจทก์และโจทก์เป็นผู้ชำระเบี้ยประกัน เช่นนี้ ถือว่าโจทก์เป็นผู้เอาประกันภัยเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเป็นผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์ในรถยนต์คันที่เอาประกันภัยโจทก์เช่าซื้อมา โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยไว้ สัญญาประกันภัยย่อมมีผลสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา863 กรณีเช่นนี้ โจทก์เป็นตัวการมิได้เปิดเผยชื่อ การตั้ง พ.เป็นตัวแทนจึงไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามมาตรา 798และโจทก์ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อย่อมแสดงตนให้ปรากฎและเข้ารับเอาสัญญาประกันภัยที่ พ. ตัวแทนทำไว้กับจำเลยแทนได้ตามมาตรา 806 และแม้ พ. จะละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงที่ว่ารถยนต์คันที่เอาประกันภัยโจทก์เป็นผู้ครองครองใช้ประโยชน์ซึ่งอาจจะได้จูงใจจำเลยให้เรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา ก็เพียงแต่ทำให้สัญญาประกันภัยตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 865 เท่านั้น เมื่อจำเลยไม่ได้ใช้สิทธิบอกล้างสัญญาดังกล่าว จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุก 10 ล้อคันหมายเลขทะเบียน 80-1477 ลพบุรี โดยเช่าซื้อจากห้างหุ้นส่วนจำกัดไทยรุ่งเรืองลพบุรี โจทก์ได้มอบให้นายพีรเดช ไชยศรีหา เป็นตัวแทนของโจทก์โดยไม่เปิดเผยชื่อตัวการนำรถดังกล่าวไปทำสัญญาประกันภัยไว้กับจำเลยเป็นเงิน 250,000 บาท ระหว่างอายุสัญญา มีคนร้ายลักเอารถดังกล่าวไป ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจติดตามนำรถกลับคืนมาได้โดยคนร้ายได้ลักเอาสิ่งของอุปกรณ์ไป 29 รายการเป็นเงิน 648,950บาท โจทก์แจ้งให้จำเลยซ่อมให้ จำเลยไม่ยอมซ่อมให้ โจทก์ได้รับความเสียหายที่ไม่ได้ใช้รถซึ่งคาดว่าอยู่ในระยะเวลาที่จะซ่อมรถแล้วเสร็จได้เป็นเวลา 45 วัน เป็นเงิน 67,500 บาท และจำเลยจะต้องรับผิดตามกรมธรรม์ 250,000 บาท กับค่าเสียหายอีกวันละ 1,500 บาทนับแต่วันฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 317,500 บาท และค่าเสียหายวันละ 1,500 บาทนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันที่เอาประกันภัยจริง แต่โจทก์มิได้มอบอำนาจให้นายพีรเดช ไชยศรีหา เป็นผู้นำรถไปประกันภัยกับจำเลย และโจทก์ก็ไม่ได้เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยนายพีรเดชนำรถไปประกันภัยกับจำเลยโดยรู้อยู่ว่าตนเองไม่มีส่วนได้เสีย และนายพีรเดชก็เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยด้วยเงินของตนเองสัญญาประกันภัยที่จำเลยทำกับนายพีรเดชจึงไม่ผูกพันจำเลย จำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยต่อนายพีรเดชหรือโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 250,000 บาทและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท สำหรับค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันเป็นอันยุติฟังได้ว่า โจทก์เช่าซื้อรถยนต์คันที่เอาประกันภัยมาใช้ในกิจการของโจทก์ โจทก์ได้มอบหมายให้นายพีรเดชผู้ถือหุ้นของบริษัทโจทก์เป็นผู้ดำเนินกิจการทุกอย่างเกี่ยวกับรถยนต์ของโจทก์นายพีรเดชเป็นผู้ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้กับจำเลยแทนโจทก์ และโจทก์เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยเห็นว่า เมื่อฟังได้ว่า นายพีรเดชทำสัญญาประกันภัยไว้กับจำเลยแทนโจทก์ ก็ต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้เอาประกันภัย ไม่ใช่นายพีรเดชเป็นผู้เอาประกันภัยเมื่อโจทก์เป็นผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์รถยนต์คันที่เอาประกันภัยซึ่งโจทก์เช่าซื้อมา โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ สัญญาประกันภัยย่อมมีผลสมบูรณ์ผูกพันโจทก์และจำเลยหาใช่กรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 ดังที่จำเลยฎีกาไม่ และกรณีนี้โจทก์ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อได้แสดงตนให้ปรากฏเข้ารับเอาสัญญาประกันภัยที่นายพีรเดชตัวแทนได้ทำไว้กับจำเลยแทนตน ซึ่งโจทก์เข้ารับเอาสัญญานี้ได้ตามมาตรา 806 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ที่จำเลยฎีกาว่า คดีการตั้งตัวแทนไม่ได้มีหลักฐานเป็นหนังสือจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 เห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวใช้แก่กรณีที่มีการตั้งตัวแทนจริง ๆ ส่วนกรณีตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา 806 นั้น ย่อมแสดงอยู่ในตัวแล้วว่าการตั้งตัวแทนมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ เพราะหากมีหลักฐานเป็นหนังสือแล้ว ก็ไม่ใช่ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อ ดังนั้น จึงจะนำมาตรา 798 มาใช้บังคับแก่กรณีตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อในคดีนี้ไม่ได้
ที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า สัญญาประกันภัยมิใช่สัญญาธรรมดาทั่วไป แต่เป็นสัญญาที่ผู้รับประกันภัยจะต้องพิจารณาบุคคลผู้เอาประกันภัยเป็นข้อสำคัญ เพื่อการพิจารณาเรื่องเบี้ยประกันภัยหรือเพื่อพิจารณาว่าสมควรจะรับประกันภัยไว้หรือไม่ เมื่อนายพีรเดชนำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยมาประกันภัยไว้กับจำเลย จำเลยย่อมเข้าใจว่านายพีรเดชเป็นเจ้าของรถ การพิจารณาเรื่องเบี้ยประกันภัยหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ย่อมแตกต่างจากกรณีผู้เอาประกันภัยเป็นนิติบุคคลนั้น เห็นว่า แม้จำเลยจะอ้างว่านายพีรเดช ตัวแทนของโจทก์ละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงที่ว่ารถยนต์คันที่เอาประกันภัยนั้น นิติบุคคลโจทก์เป็นผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ ซึ่งอาจจะได้จูงใจจำเลยผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา ก็เพียงแต่ทำให้สัญญาประกันภัยตกเป็นโมฆียะตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 บัญญัติไว้เท่านั้นข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ใช้สิทธิบอกล้างสัญญาประกันภัยฉบับนี้ โดยอาศัยเหตุที่จำเลยกล่าวอ้างมาข้างต้น นอกจากนี้จำเลยไม่ได้ยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การด้วย ดังนั้น จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายต่อรถยนต์คันที่เอาประกันภัยของโจทก์ที่ถูกคนร้ายลักเอาส่วนประกอบและอุปกรณ์ที่ติดประจำอยู่ไปที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share