คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 111/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าที่ค้างชำระโจทก์ร่วมกับสินค้าใหม่ที่จำเลยสั่งซื้อจากโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมไม่ส่งสินค้าให้จำเลยอีก แต่นำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงิน แม้ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่าบัญชีปิดแล้ว การกระทำของจำเลยก็ยังไม่เป็นความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยออกเช็คจำนวน 3 ฉบับ โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 จำเลยให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณาผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยกระทงแรกเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 ให้ลงโทษจำคุก 9 เดือน ยกฟ้องสำหรับกระทงที่สองและที่สาม โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยกระทงที่สองเป็นความผิด ให้จำคุก 7 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับเช็คฉบับแรก(เอกสารหมาย ป.จ.2) เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยออกเช็คฉบับแรกเพื่อชำระหนี้ที่ค้างอยู่ 50,000 บาทและออกเพื่อสั่งสินค้าเพิ่มอีก 80,000 บาท และโจทก์ร่วมยังส่งสินค้าให้จำเลยไม่ครบถ้วน การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดจำเลยได้อุทธรณ์แต่ปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน แต่ศาลอุทธรณ์กลับไปฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยออกเช็คฉบับแรกเพื่อชำระหนี้ที่ค้างเต็มจำนวนตามเช็คเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194 นั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยอุทธรณ์ อุทธรณ์ของจำเลยก็ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงว่า เช็คฉบับแรกเป็นเช็คที่ออกโดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์ร่วมจะขึ้นเงินได้ต่อเมื่อส่งสินค้าให้จำเลยภายในกำหนดและจำเลยออกเช็คนี้เพื่อประกันการสั่งซื้อสินค้าเท่านั้น แล้วจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่าไม่เป็นความผิด ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า เช็คฉบับแรกจำเลยออกให้แก่โจทก์ร่วมก็เพื่อชำระหนี้ที่ค้างชำระอยู่นั่นเอง ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจที่จะรับฟังดังกล่าวได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น เกี่ยวกับเช็คฉบับนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ที่จำเลยฎีกามาด้วยว่า จำเลยออกเช็คฉบับแรกโดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์ต้องส่งสินค้าให้จำเลยเป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่า จำเลยออกเช็คฉบับแรกเพื่อชำระหนี้ที่ค้างชำระ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับเช็คฉบับที่สอง (เอกสารหมาย ป.จ.4)ว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดนั้น โจทก์และโจทก์ร่วมมีนายสมศักดิ์ตั้งศิริ กรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ร่วมเบิกความว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ร่วมอยู่สามแสนกว่าบาท ต่อมาวันที่ 20 กรกฎาคม 2527จึงไปทวงหนี้จากจำเลยซึ่งอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จำเลยได้ออกเช็คฉบับแรกชำระหนี้ให้แก่โจทก์ร่วม ต่อมาจำเลยได้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ร่วมอีก โจทก์ร่วมได้ส่งสินค้าให้จำเลย ครั้นวันที่27 กรกฎาคม 2527 ได้เดินทางไปทวงหนี้จากจำเลยอีก จำเลยได้ออกเช็คฉบับที่สองให้แก่โจทก์ร่วม เช็คฉบับดังกล่าวจำเลยมอบให้โจทก์ร่วมเพื่อชำระหนี้ที่ค้างชำระอยู่เดิมและสำหรับค่าสินค้าที่สั่งซื้อใหม่ โจทก์ร่วมได้ส่งสินค้าให้จำเลยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2527 เป็นเงิน 60,425 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.ร.4 แผ่นที่ 7 เห็นว่าหากจำเลยเป็นหนี้โจทก์ร่วมอยู่เป็นจำนวนสูงตามที่กล่าวอ้าง เมื่อพยานเดินทางไปทวงหนี้จากจำเลยถึงจังหวัดนครศรีธรรมราช ก็น่าจะให้จำเลยจ่ายเช็คให้แก่โจทก์ร่วมให้ครบจำนวนนี้ โดยจะจ่ายเป็นฉบับเดียวหรือหลายฉบับ กำหนดชำระเงินเป็นช่วง ๆ ก็ได้ การที่พยานยอมรับเช็คจากจำเลยเพียงฉบับเดียวทั้งใบวางบิลเอกสารหมาย จ.ร.4 แผ่นที่ 1 ถึง 6 ก็เป็นสินค้าที่โจทก์ร่วมส่งให้จำเลยก่อนวันที่ 20 กรกฎาคม 2527 ซึ่งเป็นวันที่ไปทวงหนี้จากจำเลย ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่า ในวันที่ 20กรกฎาคม 2527 จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่เพียง 130,000 บาท เท่ากับจำนวนเงินที่ระบุในเช็คฉบับแรกเท่านั้น เมื่อจำเลยมอบเช็คฉบับแรกให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยได้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์อีก ซึ่งสินค้าดังกล่าวน่าเชื่อว่าเป็นสินค้าตามใบส่งของชั่วคราวลงวันที่ 29กรกฎาคม 2527 จำนวนเงิน 60,425 บาท ตามเอกสารหมาย จ.ร.4 แผ่นที่7 ซึ่งตรงกับเอกสารหมาย ป.ล.2 ที่จำเลยอ้าง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่จำเลยออกเช็คฉบับที่สองมอบให้แก่โจทก์ร่วมในวันที่ 27กรกฎาคม 2527 นั้นก็เพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าจำนวน 60,425 บาท กับสินค้าใหม่ที่จำเลยสั่งซื้อจากโจทก์อีก และข้อเท็จจริงได้ความจากพยานโจทก์ปากนี้อีกว่า พยานทราบว่าธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คฉบับแรก เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2527 และโจทก์ร่วมไม่ได้ส่งสินค้าให้จำเลยอีกเลย เมื่อเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายมีจำนวนเงินสูงถึง 107,125 บาท แต่จำเลยเป็นหนี้ค่าสินค้าโจทก์อยู่เพียง 60,425 บาท เมื่อโจทก์ยังส่งสินค้าให้จำเลยไม่ครบถ้วนและนำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงิน แม้ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่าปิดบัญชีแล้ว การกระทำของจำเลยก็ยังไม่เป็นความผิด
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยกระทงที่สองเกี่ยวกับเช็คตามเอกสารหมาย ป.จ.4 นั้น ไม่เป็นความผิด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share