คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3191/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นสั่งคำฟ้องว่า รับคำฟ้อง หมายเรียกส่งสำเนาให้จำเลยไม่มีผู้รับโดยชอบ และไม่มีภูมิลำเนาแห่งอื่นให้ปิดหมายถ้าส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงภายใน 7 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ และข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้แทนโจทก์กับเจ้าหน้าที่ศาลไปส่งหมายเรียกด้วยกัน เมื่อส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยไม่ได้ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องแถลงต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในรายงานการเดินหมายอีกว่าให้โจทก์แถลงภายใน 7 วันนับแต่วันส่งไม่ได้ ก็เป็นเพียงการยืนยันถึงคำสั่งในคำฟ้องเท่านั้นซึ่งหากศาลชั้นต้นจะไม่มีคำสั่งในรายงานการเดินหมาย โจทก์ก็ยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งในคำฟ้องอยู่เช่นเดิม โดยศาลชั้นต้นไม่จำต้องแจ้งคำสั่งในรายงานการเดินหมายให้โจทก์ทราบอีกครั้งหนึ่งแต่อย่างใด เมื่อโจทก์ไม่แถลงต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด จึงถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทกศาลชั้นต้นสั่งคำฟ้องว่า “รับคำฟ้อง หมายเรียกส่งสำเนาให้จำเลยไม่มีผู้รับโดยชอบและไม่มีภูมิลำเนาแห่งอื่นให้ปิดหมาย ถ้าส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงภายใน ๗ วันนับแต่วันส่งไม่ได้” ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๓๐ เจ้าพนักงานศาลรายงานการเดินหมายเสนอต่อศาลชั้นต้นว่า เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๓๐ เจ้าพนักงานศาลพร้อมด้วยผู้แทนโจทก์ได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้แก่จำเลยทั้งสองแล้วไม่พบภูมิลำเนาตามคำฟ้อง จึงส่งไม่ได้เพราะหาบ้านของจำเลยทั้งสองไม่พบ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานการเดินหมายว่า “ให้โจทก์แถลงภายใน ๗ วัน นับแต่วันส่งไม่ได้” และในวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๓๐ เจ้าพนักงานศาลทำรายงานว่า โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองไม่ได้ตั้งแต่วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๓๐ บัดนี้ล่วงเลยเวลาที่กำหนดให้โจทก์แถลงแล้ว แต่โจทก์มิได้แถลงให้ศาลทราบ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ”
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว โจทก์ฎีกาว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นในรายงานการเดินหมายฉบับลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๓๐ ที่ว่า ให้โจทก์แถลงภายใน ๗ วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ เป็นคำสั่งที่กำหนดขึ้นใหม่ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคำสั่งในคำฟ้อง เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ทราบคำสั่งนี้จึงไม่อาจถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำฟ้องว่า รับคำฟ้อง หมายเรียกส่งสำเนาให้จำเลย ไม่มีผู้รับโดยชอบและไม่มีภูมิลำเนาแห่งอื่นให้ปิดหมายถ้าส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงภายใน ๗ วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ ซึ่งมีความหมายชัดแจ้งว่าถ้าเจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยไม่ได้ไม่ว่ากรณีใดและไม่อาจปิดหมายได้แล้ว โจทก์มีหน้าที่ต้องแถลงต่อศาลชั้นต้นภายใน ๗ วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ว่าโจทก์จะดำเนินการอย่างไรต่อไป แม้ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในรายงานการเดินหมายฉบับลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๓๐ ว่า ให้โจทก์แถลงภายใน ๗ วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ก็เป็นเพียงการยืนยันถึงคำสั่งในคำฟ้องนั้น ซึ่งหากศาลชั้นต้นจะไม่มีคำสั่งในรายงานการเดินหมายดังกล่าว โจทก์ก็ยังคงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งในคำฟ้องอยู่เช่นเดิม โดยโจทก์ไม่จำต้องทราบ หรือศาลชั้นต้นต้องแจ้งคำสั่งในรายงานการเดินหมายให้โจทก์ทราบอีกครั้งหนึ่งแต่อย่างใดที่โจทก์ฎีกาว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งในคำฟ้อง โจทก์ยังมิได้ทราบ โจทก์ไม่เคยลงชื่อรับทราบและยังไม่เคยมีการส่งคำสั่งให้โจทก์โดยชอบ กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลกำหนดนั้น ปรากฏว่า โจทก์ยื่นคำฟ้องเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๓๐ โดยมีข้อความท้ายคำขอท้ายคำฟ้องแพ่งว่า “ข้าพเจ้าได้ยื่นสำเนาคำฟ้องโดยมีข้อความถูกต้องเป็นอย่างเดียวกันมาด้วย ๒ ฉบับ และรอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว” และทนายโจทก์ลงลายมือชื่อเป็นโจทก์ต่อท้ายข้อความนั้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำฟ้องดังกล่าวในวันนั้นดังนี้ จึงต้องถือตามคำรับรองของโจทก์ว่า โจทก์ได้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นในวันที่มีคำสั่งนั้นแล้วโดยไม่จำต้องแจ้งให้โจทก์ทราบดังข้อฎีกาของโจทก์
พิพากษายืน.

Share