คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5286/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีก่อนจำเลยฟ้องขับไล่ ย.กับบริวารออกจากที่พิพาทศาลพิพากษาให้จำเลยชนะคดีแล้ว จำเลยขอให้ศาลบังคับคดีแก่โจทก์อ้างว่าเป็นบริวารของย.และปลูกบ้านในที่พิพาท โจทก์ต่อสู้ว่าโจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่ชายทะเลนอกที่พิพาท โจทก์จำเลยย่อมอยู่ในฐานะเป็นคู่ความ ศาลไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้โจทก์ขนย้ายออกไปจากที่พิพาท คดีถึงที่สุด โจทก์ฟ้องตั้งรูปคดีเช่นเดิมว่าที่ดินที่ปลูกสร้างบ้านเป็นที่ชายทะเลอยู่นอกเขตโฉนดของจำเลย ขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตลอดจนกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีของศาลในคดีก่อนเห็นได้ว่าคดีก่อนและคดีนี้โจทก์จำเลยเป็นคู่ความเดียวกันและมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธิ์ที่พิพาทเช่นเดียวกันจึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 และกรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 148(1) ซึ่งต้องเป็นกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีที่มิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 368/2524ของศาลชั้นต้นและเพิกถอนกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีทั้งหมดกับห้ามจำเลยรบกวนการครอบครองบ้านของโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าข้อพิพาทตามฟ้องเป็นประเด็นอย่างเดียวกับคดีหมายเลขแดงที่ 368/2524ให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่เมื่อพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้แล้ว ปรากฏแจ้งชัดว่าที่พิพาทในคดีนี้กับที่พิพาทซึ่งจำเลย (โจทก์ในคดีก่อน) ขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีเอาแก่โจทก์ (บริวารจำเลยในคดีก่อน)ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 368/2524 ของศาลชั้นต้น เป็นที่ดินแปลงเดียวกันโดยในชั้นแรกในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 368/2524ของศาลชั้นต้นนั้น จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่หม่อมราชวงศ์ยงยุพลักษณ์ เกษมสันต์ กับบริวารให้ออกไปจากที่พิพาท ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ขับไล่หม่อมราชวงศ์ยงยุพลักษณ์กับบริวารออกไปจากที่พิพาท คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2528 จำเลย (ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อน) ขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีแก่โจทก์ในคดีนี้โดยอ้างว่า โจทก์เป็นบริวารของหม่อมราชวงศ์ยงยุพลักษณ์(จำเลยในคดีก่อน) และปลูกบ้านในที่พิพาท โจทก์ต่อสู้ว่าโจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่ชายทะเลนอกที่พิพาท ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเชื่อว่าโจทก์เป็นบริวารหม่อมราชวงศ์ยงยุพลักษณ์และปลูกบ้านในที่พิพาทจึงมีคำสั่งให้โจทก์ขนย้ายออกไปจากที่พิพาท ดังปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาในชั้นบังคับคดีของศาลชั้นต้น เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5คดีในชั้นบังคับคดีระหว่างจำเลย (ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อน) กับโจทก์ในคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว ครั้นต่อมาโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยตั้งรูปคดีเช่นเดียวกับคดีเดิมว่าที่ดินที่ปลูกสร้างบ้านดังกล่าวนั้นเป็นที่ชายทะเล อยู่นอกเขตโฉนดของจำเลย ขอให้ศาลเพิกถอนคำพิพากษาตลอดจนกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีของศาลชั้นต้นในคดีก่อน และห้ามมิให้จำเลยรบกวนการครอบครองที่พิพาทและบ้านของโจทก์ที่ปลูกสร้างในที่พิพาท เมื่อพิจารณาคำฟ้องและข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วจะเห็นได้ว่า โจทก์จำเลยในคดีก่อนกับในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันโดยคดีในชั้นร้องขอให้บังคับคดีก่อนเป็นคดีระหว่างจำเลย (ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อน) กับโจทก์ในคดีนี้ในฐานะผู้คัดค้าน โจทก์จำเลยย่อมอยู่ในฐานะเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวแล้ว ทั้งคดีก่อนและคดีนี้ต่างก็มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธิ์ที่พิพาทแปลงนี้เช่นเดียวกันจึงถือได้ว่ามีประเด็นอย่างเดียวกันซึ่งศาลได้วินิจฉัยและพิพากษาในคดีก่อนถึงที่สุดแล้ว ฉะนั้นฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและตามที่ฎีกาโจทก์อ้างว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(1) ให้อำนาจโจทก์ฟ้องใหม่ได้ไม่เป็นฟ้องซ้ำนั้น เห็นว่ากรณีที่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าวนี้ ต้องเป็นกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีที่มิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วด้วย กรณีนี้ ศาลได้ไต่สวนและมีคำสั่งในคดีก่อนจนถึงที่สุดแล้ว โจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้อีกจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(1)ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 368/2524 ของศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share