คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4984/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ช.ผู้จัดการธนาคารเบิกความว่าจำเลยได้พาโจทก์ไปพบช.เพื่อเจรจาขอกู้เงินจากธนาคารจำนวนสี่ล้านบาทเพื่อไปทำธุรกิจของโจทก์ โดยจะนำที่ดินของโจทก์มาจำนองเป็นหลักประกัน แต่เนื่องจากโจทก์ไม่ได้เป็นลูกค้าของธนาคาร ช. จึงแนะนำให้โจทก์กู้ในนามของจำเลยซึ่งมีบัญชีเงินฝากอยู่กับธนาคาร โจทก์จำเลยยินยอมตกลงตามที่ ช.แนะนำคำเบิกความของช.ดังกล่าวเป็นกรณีที่กล่าวในทางการซึ่งตนปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบมิใช่เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร เพราะเป็นกรณีนำสืบถึงข้อเท็จจริงอันเป็นที่มาของนิติกรรมที่โจทก์และจำเลยทำกับธนาคาร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้จำนองที่ดินเป็นการค้ำประกันจำเลยต่อธนาคารกรุงไทย จำกัด จำเลยขอให้โจทก์ขายที่ดินที่จำนองเพื่อนำไปชำระหนี้แทนจำเลย โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน2,010,416 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ขอให้จำเลยกู้เงินให้โจทก์ทำธุรกิจส่วนตัวของโจทก์ โดยโจทก์จะนำที่ดินจำนองค้ำประกัน จำเลยตกลงและโจทก์ได้สั่งให้จำเลยเบิกเงินจนครบวงเงิน 3,500,000 บาทแต่โจทก์ไม่ยอมนำเงินมาชำระดอกเบี้ย ธนาคารได้ทวงถาม โจทก์ตกลงให้จำเลยช่วยขายที่ดิน 3 โฉนด รวมทั้งที่จำนองค้ำประกันภายหลังขายที่ดินแล้ว โจทก์ถึงมาฟ้องจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเพื่อให้จำเลยชดใช้ดังกล่าวเป็นเรื่องโจทก์นำที่ดินของตนมาจำนองต่อธนาคารเพื่อค้ำประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลย จนผลสุดท้ายโจทก์ต้องขายที่ดินดังกล่าวไปเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แทนจำเลยดังที่โจทก์อ้าง หรือว่าความจริงโจทก์เองเป็นผู้กู้ แต่เนื่องจากโจทก์ไม่มีบัญชีเงินฝากจึงขออาศัยชื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกค้ากับธนาคารอยู่เดิมเป็นผู้ลงชื่อในการกู้ยืมแทนแล้ว จำเลยนำเงินมามอบให้ไปโดยที่จำเลยมิได้ยุ่งเกี่ยวกับเงินจำนวนนี้เลย ดังที่จำเลยให้การต่อสู้ ประเด็นข้อเท็จจริงที่โต้เถียงกันดังกล่าวปรากฏจากคำเบิกความของนายชัยยะ พงษ์เจริญ ผู้จัดการธนาคารกรุงไทยจำกัด สาขาวิสุทธิกษัตริย์ ผู้ให้กู้รายนี้ได้ให้ข้อเท็จจริงอันเป็นเบื้องหลังของการกู้ยืมว่า จำเลยเป็นผู้พาโจทก์ไปพบพยานเพื่อเจรจาขอกู้เงินจากธนาคารจำนวนสี่ล้านบาทเพื่อไปทำธุรกิจของโจทก์ โดยจะนำที่ดินของโจทก์มาจำนองเป็นหลักประกันแต่มีอุปสรรคขัดข้องที่ธนาคารไม่อาจให้กู้ได้เนื่องจากโจทก์มิได้เป็นลูกค้าของธนาคาร พยานจึงได้แนะนำให้โจทก์กู้ในนามของจำเลยซึ่งมีบัญชีเงินฝากอยู่กับธนาคารก่อนแล้ว โดยเอาหลักทรัพย์ของโจทก์มาจำนองเป็นประกันดังกล่าว และโจทก์จำเลยก็ยินยอมตกลงปฏิบัติตามที่พยานแนะนำ ศาลฎีกาเห็นว่า คำเบิกความของพยานปากนี้เป็นกรณีที่กล่าวในทางการซึ่งตนปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดชอบจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อตามข้อเท็จจริงและเหตุผลที่พยานได้ให้การต่อศาล ทั้งมิใช่เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายดังที่โจทก์โต้แย้ง เพราะเป็นกรณีที่นำสืบถึงข้อเท็จจริงอันเป็นที่มาของนิติกรรมของโจทก์และจำเลยทำกับธนาคาร ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นประเด็นพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้นอกจากคำพยานดังกล่าวยังปรากฏข้อเท็จจริงอันเป็นพฤติการณ์ของโจทก์บางประการที่แสดงว่าการกู้ยืมในครั้งนี้โจทก์ได้กระทำไปในนามของจำเลยโดยโจทก์ยอมรับว่าเคยได้รับเช็คสั่งจ่ายจากจำเลยอันเป็นการเจือสมตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าจำเลยได้ออกเช็คเบิกเงินจากธนาคารนำไปมอบให้โจทก์หลายครั้งเพียงแต่โจทก์บ่ายเบี่ยงไปว่าเป็นเงินค่าใช้จ่ายที่จำเลยมอบให้โจทก์ไว้ใช้สอย ตลอดจนเป็นค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศด้วยกัน รวมความแล้วศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าพยานโจทก์ ซึ่งนอกจากที่กล่าวมายังมีเหตุผลอีกหลายประการที่สนับสนุนตามข้อต่อสู้ของจำเลยดังที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดแล้ว ซึ่งศาลฎีกาไม่จำต้องกล่าวความซ้ำอีก”
พิพากษายืน

Share