คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4499/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยานโจทก์ที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจที่อ้างว่าจำเลยที่ 1เป็นผู้จ้างวานใช้ให้ฆ่าผู้ตายก็เพียงแต่สืบสวนทราบมาเท่านั้นการสืบสวนจับกุมก็ปรากฏว่านอกจากจำเลยทั้งสองแล้ว ยังได้จับส. มาด้วยอันแสดงถึงความไม่แน่นอน แม้แต่บันทึกการจับกุมก็ปรากฏรายชื่อนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่และนายตำรวจชั้นประทวนรวมกันถึง 23 คน ซึ่งไม่ปรากฏจากคำเบิกความของพยานเลย การสืบสวนและการจับกุมดังกล่าวจึงเชื่อถือไม่ได้ และทำให้คำรับชั้นจับกุมของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 นำสืบโต้แย้งอยู่ว่าลงชื่อให้เพราะกลับถูกทำร้ายไม่มีน้ำหนักไปด้วยดุจกัน พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดตามฟ้อง ลำพังแต่เพียงคำรับชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็นำสืบโต้แย้งอยู่ว่ามิได้ให้การด้วยความสมัครใจไม่เพียงพอที่จะรับฟังลงโทษ จำเลยที่ 2 ฐานฆ่าผู้อื่นได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการใช้จ้างวานยุยงส่งเสริมจำเลยที่ 2 กับนายบุญชู เจียรนันท์หรือจีระนันท์ ให้ร่วมกันฆ่าผู้อื่น ต่อมาจำเลยที่ 2 กับนายบุญชูได้ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามที่จำเลยที่ 1 ใช้จ้างวาน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 84, 289(4) และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ของกลางริบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84, 289(4) จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 289(4) วางโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1ที่ 2 ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(1) ลงโทษจำเลยทั้งสองไว้ตลอดชีวิต ของกลางให้ริบ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ สำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าเป็นผู้จ้างวานใช้ให้จำเลยที่ 2 กับนายบุญชูซึ่งถึงแก่ความตายไปแล้วฆ่าผู้ตายนั้นพยานสำคัญของโจทก์มีเพียงปากเดียวคือนายสมภพซึ่งเบิกความว่าเมื่อปลายปี พ.ศ. 2526 เพื่อนของพยานได้มาติดต่อกับพยานให้ไปพบนายโหง๋วที่มีอาชีพขายกุญแจซึ่งพยานรู้จักมาก่อน พยานได้ไปพบนายโหง๋ว นายโหง๋วให้พยานช่วยหามือปืนรับจ้างให้เพราะมีคนต้องการ พยานก็รับปาก วันรุ่งขึ้นพยานได้ไปพบนายโหง๋วอีกครั้งหนึ่งนายโหง๋วพาพยานไปดูตัวผู้ตาย บ้านและรถยนต์ปิกอัพสีเหลืองของผู้ตาย และได้มอบกระดาษแผ่นหนึ่งกับเงิน 5,000 บาทให้พยานไว้เป็นค่าใช้จ่าย กระดาษแผ่นนั้นมีข้อความว่า”โตโยต้าสีเหลือง 3 ย 6240 จั้ว ณรงค์ศักดิ์ วัชรพานิชนุรัก102/95 วัดม่วง ทำสปริง 2410353″ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.6แผ่นที่ 2 แต่พยานก็เบิกความต่อไปว่า มิได้เคยไปติดต่อหามือปืนคนใดเลย ที่รับปากต่อนายโหง๋วไปเช่นนั้นก็เพื่อต้องการหลอกเอาเงินใช้เท่านั้น จำเลยที่ 2 พยานก็ไม่รู้จัก ต่อมาวันที่1 กุมภาพันธ์ 2527 ผู้ตายได้ถูกคนร้ายยิงถึงแก่ความตาย จึงไม่มีหลักฐานอันใดที่จะรับฟังได้จากพยานปากนี้ว่าคนร้ายดังกล่าวเกี่ยวข้องหรือรับจ้างจากพยานยิ่งกว่านั้นพยานยังเบิกความว่านายโหง๋วที่พยานไปพบและขอให้พยานช่วยหามือปืนให้นั้นพยานรู้จักแต่ก็เป็นคนละคนกับจำเลยที่ 1 ลำพังแต่เพียงผู้ชำนาญตรวจพิสูจน์ลายมือในเอกสารหมาย จ.6 แผ่นที่ 2 ซึ่งมีข้อความดังกล่าวแล้วลงความเห็นว่าเป็นลายมือของจำเลยที่ 1 นั้นยังห่างไกลต่อการที่จะรับฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จ้างวานใช้ให้คนร้ายรายนี้ไปฆ่าผู้ตาย คำให้การชั้นสอบสวนของพยานดังกล่าวซึ่งโจทก์อ้างส่งศาลประกอบก็ปรากฏว่าเพิ่งทำการสอบสวนเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน2527 หลังจากที่จับจำเลยที่ 1 มาแล้ว จึงมีน้ำหนักน้อยที่จะรับฟังมาประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ พยานอื่นของโจทก์ที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจเช่นร้อยตำรวจเอกเชาวฤทธิ์ พรรณพัฒน์พันตำรวจเอกโสภณ วาราชนนท์ ที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จ้างวานใช้ให้ฆ่าผู้ตายก็เพียงแต่สืบสวนทราบมาเท่านั้นการสืบสวนจับกุมตามเอกสารหมาย จ.7 ก็ปรากฏว่านอกจากจำเลยทั้งสองแล้ว ยังได้จับนายสิทธิศักดิ์หรือซุยไฮ้ แซ่แต้ มาด้วยอันแสดงถึงความไม่แน่นอน แม้แต่บันทึกการจับกุมก็ปรากฏรายชื่อนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่และนายตำรวจชั้นประทวนรวมกันถึง 23 คนซึ่งไม่ปรากฏจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกเชาวฤทธิ์เลยการสืบสวนและการจับกุมดังกล่าวจึงเชื่อถือไม่ได้และทำให้คำรับชั้นจับกุมของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 นำสืบโต้แย้งอยู่ว่าลงชื่อให้เพราะกลับถูกทำร้ายเนื่องจากเคยถูกทำร้ายมาแล้ว ไม่มีน้ำหนักไปด้วยดุจกัน พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดตามฟ้อง
สำหรับจำเลยที่ 2 ซึ่งโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าร่วมกับนายบุญชูยิงผู้ตายถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนอันเนื่องมาจากการจ้างวานใช้ของจำเลยที่ 1 นั้น พยานสำคัญของโจทก์ก็มีเพียงปากเดียวคือจ่าสิบตำรวจสมชาย สินเจริญ ซึ่งรับราชการอยู่ที่กองกำกับการ 7 กองปราบปราม พยานปากนี้เบิกความว่า พยานขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างส่งผู้โดยการในหมู่บ้านสุขสำราญในซอยวัดม่วงเพื่อหารายได้พิเศษ พยานนำรถจักรยานยนต์ไปจอดที่หน้าร้านอาหารในซอย เห็นจำเลยที่ 2 วึ่งเป็นคนแปลกหน้านั่งอยู่ในร้าน ต่อมาเมื่อรถยนต์ปิดอัพสีเหลืองของผู้ตายแล่นผ่านหน้าร้านไป จำเลยที่ 2 สวมหมวกกันน๊อกขับขี่รถจักรยานยนต์ตามรถของผู้ตายไป พยานก็ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามไปด้วย จนเห็นว่าจำเลยที่ 2 ไปแวะรับนายบุญชูซึ่งมีปืนเหน็บอยู่ที่เอวซ้อนท้ายแล้วขับตามรถยนต์ของผู้ตายไปนั้น ได้ความว่าพยานไม่รู้จักทั้งผู้ตายและจำเลยที่ 2 มาก่อน การที่พยานเข้าไปก็ไม่ได้ให้เหตุผลว่าตามไปเพื่ออะไร คำเบิกความของพยานในข้อนี้จึงขัดต่อเหตุผลอย่างยิ่ง ขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 18.30 นาฬิกา ของเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเริ่มมืดแล้ว พยานตามจำเลยที่ 2 ไปในระยะห่างดังนั้นที่พยานเบิกความว่าคนซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 2 มีตำหนิเป็นไฝที่แก้มด้านขวา จึงเชื่อฟังได้ยากยิ่งขึ้น ข้อสำคัญพยานปากนี้ก็มิได้เห็นขณะคนร้ายยิงผู้ตาย เมื่อพยานปากนี้ขับรถจักรยานยนต์มาถึงที่เกิดเหตุนั้น รถยนต์ปิดอัพของผู้ตายชนเสาไฟฟ้าอยู่และผู้ตายถูกคนร้ายยิงถึงแก่ความตายแล้ว พยานจึงไม่ทราบว่าใครเป็นคนร้าย เมื่อพยานถามชาวบ้านที่ออกมามุงดูก็ได้ความเพียงว่ามีรถจักรยานยนต์สีบรอนซ์เงินมีคนซ้อนท้ายใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้ตาย ชาวบ้านเหล่านั้นก็ไม่ได้ตัวมาเบิกความเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 จ้างวานใช้จำเลยที่ 2 กับนายบุญชูให้ฆ่าผู้ตายดังได้วินิจฉัยมาแล้วยิ่งทำให้คำเบิกความของพยานปากนี้มีน้ำหนักน้อยยิ่งขึ้น ลำพังแต่เพียงคำรับชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 2ก็นำสืบโต้แย้งอยู่ว่ามิได้ให้การด้วยความสมัครใจ จึงยังไม่เพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ของกลางให้ริบ

Share