คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4495/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดสัญญาจนถึงวันก่อนฟ้อง และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ข้อนี้แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ชอบที่จะแก้ไขเสียให้ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาค้ำประกันผู้ได้รับอนุมัติให้ลาไปศึกษาต่อต่างประเทศ จำเลยให้การว่าไม่ต้องรับผิดและการคิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน70,836 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 22กุมภาพันธ์ 2525 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ โดยได้หักเงิน2,290 บาท โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระเงิน154,812.22 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2525 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีให้โจทก์นับแต่วันที่ 15 มีนาคม 2524 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนจำเลยไม่ได้ฎีกา ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชำระเงิน154,812.22 บาท แก่โจทก์ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีเพียงว่าจำเลยต้องชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ให้โจทก์นับแต่วันที่ 15มีนาคม 2524 เป็นต้นไปหรือไม่เพียงใด พิเคราะห์แล้วเห็นว่าสัญญาของข้าราชการที่ลาไปศึกษาต่อฯ ตามเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 5ระบุว่าในกรณีผิดสัญญา เงินที่จะขอชดใช้คืนและเงินเบี้ยปรับตามสัญญาต้องชำระให้หมดภายในกำหนด 30 วัน นับถัดจากวันได้รับแจ้งจากผู้รับสัญญาซึ่งหมายถึงตัวโจทก์ หากไม่ชำระภายในกำหนดหรือชำระไม่ครบจะต้องคิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีของเงินที่ยังไม่ชำระให้แก่โจทก์ แต่พยานหลักฐานของโจทก์ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้แจ้งให้นายโอภาส ศรีใส ผู้ให้สัญญาต้องชำระเงินดังกล่าวตั้งแต่เมื่อใด มีแต่นายเชิดชาย บันสิทธิ์ พยานโจทก์เบิกความลอย ๆ ว่าหลังจากนายโอภาสผิดสัญญาแล้วโจทก์ได้ทวงถามไปยังนายโอภาสให้ชำระเงินค่าปรับ นายโอภาสได้ส่งเงินมาชำระค่าปรับเป็นเงิน 200 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้ระบุว่าแจ้งให้นายโอภาสทราบเมื่อใดและนายโอภาสได้รับทราบตั้งแต่เมื่อใด พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่อาจถือได้ว่านายโอภาสตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่เมื่อใดอันจะเป็นผลผูกพันให้จำเลยต้องรับผิดด้วยตามเอกสารหมาย จ.4 โจทก์คงมีแต่หนังสือตามเอกสารหมาย จ.22ซึ่งเป็นหนังสือของโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินแทนนายโอภาสในฐานะที่จำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน ลงวันที่ 14 มกราคม 2524และเอกสารหมาย จ.28 เป็นหนังสือที่จำเลยมีถึงโจทก์เพื่อขอเวลาติดต่อกับนายโอภาสเป็นหนังสือลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2525แสดงว่าจำเลยได้รับการบอกกล่าวให้ชำระหนี้แล้ว แต่เนื่องจากโจทก์ไม่มีหลักฐานว่าจำเลยรับหนังสือบอกกล่าวตามเอกสารหมายจ.22 ตั้งแต่เมื่อใด จึงต้องถือว่าจำเลยทราบคำบอกกล่าวตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2525 ตามเอกสารหมาย จ.28 เมื่อจำเลยได้รับคำบอกกล่าวแล้วเพิกเฉย จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันที่ได้รับคำบอกกล่าว ต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ตั้งแต่วันผิดนัดคือวันที่9 กุมภาพันธ์ 2525 เป็นต้นไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น และคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดสัญญาจนถึงวันที่ 23มีนาคม 2527 และชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นั้นจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ข้อนี้แม้จะไม่มีฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ชอบที่จะแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 154,812.22 บาท นับแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2525ถึงวันที่ 23 มีนาคม 2527 และชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวนเดียวกันนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 25 กรกฎาคม 2527)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

Share