คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4276/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์และธนาคารส่งเงินของจำเลยมาให้ตามหมายอายัดของศาลแล้ว ต่อมาจำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลายซึ่งผู้คัดค้านเป็นโจทก์ ดังนี้ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยในอีกคดีหนึ่ง จะขอรับเงินดังกล่าวส่วนที่เหลือจากชำระหนี้ให้โจทก์ในคดีนี้หาได้ไม่ผู้ร้องได้แต่ขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามวิธีการและกำหนดเวลาที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 27 และ 28 เท่านั้น และผู้คัดค้านจะขอให้ศาลส่งเงินที่เหลือจากชำระหนี้ให้โจทก์ในคดีนี้ไปรวมไว้ในกองทรัพย์สินของจำเลยในคดีล้มละลายก็ไม่ได้ เพราะเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยแล้ว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22(2)เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจเก็บรวบรวม และรับเงินหรือทรัพย์สินที่จะตกได้แก่จำเลยหรือซึ่งจำเลยมีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้อายัดเงินซึ่งจำเลยมีสิทธิได้รับจากธนาคารออมสินไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา ต่อมาศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 28,151 บาท 66 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 28,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ วันที่ 12 มิถุนายน 2528 ธนาคารออมสินได้ส่งเงินจำนวน 46,000 บาท ซึ่งจำเลยมีสิทธิได้รับจากธนาคารต่อศาลชั้นต้น ต่อมาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2528 ผู้ร้องเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอรับเงินส่วนที่เหลือภายหลังที่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องของผู้ร้อง ในวันเดียวกันนั้นเองโจทก์ได้รับเงินตามคำพิพากษาไปจากศาลจำนวน 31,738 บาท 66 สตางค์ผู้คัดค้านยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นในวันเดียวกันว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ ล.5/2528 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลในคดีนั้นได้มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์นายบรรเจิด ฉิมพลี จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2528 ขอให้นำเงินของจำเลยส่วนที่เหลือภายหลังที่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วเข้ารวมไว้ในกองทรัพย์สินของจำเลยในคดีล้มละลายดังกล่าว
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องของผู้คัดค้านว่า เนื่องจากศาลอนุญาตให้ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาให้ได้รับเงินส่วนที่เหลือจากการชำระหนี้ให้โจทก์ในคดีนี้แล้ว จึงไม่สามารถนำเงินที่เหลือมาส่งไว้ในกองทรัพย์สินในคดีล้มละลายได้ ผู้คัดค้านอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษากลับให้ส่งเงินที่เหลือภายหลังที่ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วไปรวมไว้ในกองทรัพย์สินของนายบรรเจิด ฉิมพลี จำเลยในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ล.5/2528 ของศาลจังหวัดสิงห์บุรี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของนายบรรเจิด ฉิมพลี จำเลยเมื่อวันที่ 24ธันวาคม 2528 ดังนั้นผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะขอรับชำระหนี้จากจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ได้ก็แต่โดยวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 27 โดยจะต้องเสนอคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 28 ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงร้องต่อศาลชั้นต้นขอรับเงินส่วนที่เหลือภายหลังที่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ไปแล้วเพื่อชำระหนี้ของตนหาได้ไม่ ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น ส่วนปัญหาว่า ผู้คัดค้านขอให้นำเงินของจำเลยที่เหลือภายหลังที่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วไปรวมไว้ในกองทรัพย์สินของจำเลยในคดีล้มละลายดังกล่าวได้หรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจเก็บรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สินที่จะตกได้แก่ลูกหนี้หรือซึ่งลูกหนี้มีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่นตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 22(2) ดังนั้นผู้คัดค้านจึงไม่มีอำนาจขอให้ศาลส่งเงินส่วนที่เหลือภายหลังที่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วไปรวมไว้ในกองทรัพย์สินของจำเลยในคดีล้มละลาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ส่งเงินที่เหลือภายหลังที่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วไปรวมไว้ในกองทรัพย์สินของจำเลยในคดีล้มละลายดังกล่าว ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ต้องส่งเงินไปรวมไว้ในกองทรัพย์สินของนายบรรเจิด ฉิมพลี จำเลยในคดีล้มละลาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share