แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์ โดยให้โจทก์ไถ่ถอนการขายฝากจาก ส.เป็นการชำระเงินค่าที่พิพาทส่วนหนึ่ง โจทก์นำที่พิพาทไปจำนองกับธนาคารเพื่อประกันหนี้เงินที่โจทก์กู้มาไถ่ถอนการขายฝาก ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์และศาลฎีกาพิพากษาว่า สัญญาซื้อขายเกิดขึ้นด้วยการแสดงเจตนาลวง ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 ปรากฏว่าโจทก์ได้ผ่อนชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารไปตามสัญญาจำนองก่อนแล้วจำนวน 106,373.20 บาทจำเลยคงชำระเงินส่วนที่เหลือแก่ธนาคารเป็นการไถ่ถอนการจำนองอีกเพียง 26,601.44 บาทจึงเป็นกรณีที่จำเลยได้รับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาในสภาพที่ปลอดจำนองด้วยเงินที่โจทก์ชำระไปส่วนหนึ่ง ซึ่งจำเลยไม่มีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และทำให้โจทก์เสียเปรียบ ทั้งโจทก์มิได้ชำระหนี้ไปตามอำเภอใจ จำเลยจึงต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวคืนแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 โจทก์ทราบคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งถือว่าเป็นวันที่รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืนอายุความจึงเริ่มนับแต่เวลาดังกล่าว มิใช่นับแต่วันทำสัญญาซื้อขายเมื่อฟ้องคดีนี้ไม่พ้นกำหนด 1 ปีนับแต่วันเวลาที่ทราบคำพิพากษาศาลฎีกา จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งติดจำนองให้แก่โจทก์โดยโจทก์ต้องชำระเงินค่าไถ่ถอนจำนองและชำระเงินที่เหลือเป็นเงินสด หลังจากโอนที่ดินแล้ว โจทก์ได้จำนองที่ดินต่อธนาคาร ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นโมฆะศาลฎีกาพิพากษาว่าการซื้อขายเป็นโมฆะ จึงขอให้บังคับจำเลยคืนเงินที่โจทก์ไถ่ถอนการขายฝาก จำนวน120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยจำเลยให้การว่าโจทก์กระทำการตามอำเภอใจของโจทก์เอง ไม่มีสิทธิเรียกเงินคืน และคดีขาดอายุความลาภมิควรได้เกิน 1 ปีแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 106,373.20 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เบื้องต้นตามที่คู่ความนำสืบรับกันว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 4875 ตำบลบางขุนศรีอำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร แต่เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ครั้นเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2517 จำเลยนำที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปจดทะเบียนขายฝากไว้กับนายสมศักดิ์หัทยานานนท์ กำหนดไถ่ถอนคืนใน 3 ปี ก่อนครบกำหนด จำเลยได้ทำนิติกรรมขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ในราคา 400,000บาท และให้โจทก์ไถ่ถอนการขายฝากจากนายสมศักดิ์ หัทยานานนท์แล้วโจทก์นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปจดทะเบียนจำนองกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางลำภูเพื่อเป็นประกันหนี้ที่โจทก์กู้เงินมา จำนวน 100,000 บาท อันเป็นเงินส่วนหนึ่งที่ใช้ในการไถ่ถอนการขายฝากดังกล่าว หลังจากนั้นจำเลยจึงฟ้องโจทก์ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 14459/2522 ของศาลชั้นต้นให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลย ศาลฎีกาพิพากษาว่าโจทก์จำเลยมิได้ตกลงซื้อขายกันจริงจัง สัญญาซื้อขายเกิดขึ้นด้วยการแสดงเจตนาลวงระหว่างคู่กรณีจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 ซึ่งก่อนนั้นโจทก์ได้ผ่อนชำระต้นเงิน จำนวน 80,799.01 บาท และดอกเบี้ยจำนวน25,574.19 บาท รวมเป็นเงิน 106,373.20 บาท แก่ธนาคารตามสัญญาจำนองนั้นไปแล้ว เห็นว่าเมื่อคดีหมายเลขแดงที่ 14459/2522ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดแล้วปรากฏว่าโจทก์ได้ทำการผ่อนชำระเงินให้แก่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางลำภู ไปแล้วจำนวน106,373.20 บาท จำเลยคงชำระเงินส่วนที่เหลือแก่ธนาคารเป็นการไถ่ถอนจำนองอีกเพียง 26,601.44 บาททำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปโดยปลอดจำนองโดยเป็นผลมาจากการที่โจทก์ได้ผ่อนชำระหนี้จำนองจำนวนดังกล่าวแล้วด้วยจึงเป็นกรณีที่จำเลยได้รับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาในสภาพที่ปลอดจำนองด้วยเงินที่โจทก์ชำระไปส่วนหนึ่ง ซึ่งจำเลยไม่มีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และทำให้โจทก์เสียเปรียบ ทั้งโจทก์ก็มิได้ชำระหนี้ไปตามอำเภอใจ จำเลยจึงต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวคืนแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 สำหรับประเด็นเรื่องอายุความ นั้น ปรากฏว่าโจทก์ทราบคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2525 ซึ่งถือว่าเป็นวันที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืน อายุความจึงเริ่มนับแต่เวลาดังกล่าว มิใช่นับแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2520 ซึ่งเป็นวันทำสัญญาซื้อขายที่ดินตามที่จำเลยฎีกา โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2526 ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืน จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน