คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3214/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่จำเลยให้การนั้น ยังไม่สามารถกำหนดได้โดยแน่ชัดว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์หรือของจำเลย ทั้งได้ความว่าเนื้อที่ที่จำเลยทำรั้วรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์เล็กน้อยเพียง 2 ตารางวา การที่จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของจำเลย หรือหากศาลฟังว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของโจทก์แล้ว จำเลยก็ได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยปรปักษ์เช่นนี้จำเลยย่อมให้การได้ เพราะมีเหตุผลในการต่อสู้คดีของจำเลย จะอ้างว่าจำเลยมิได้ให้การยืนยันในเรื่องการรุกล้ำหาได้ไม่
ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ เมื่อจำเลยเข้าครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ หากครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว หาจำต้องเป็นการครอบครองโดยรู้อยู่ว่าเป็นที่ดินของบุคคลอื่นไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอบังคับจำเลยให้รื้อรั้วออกไปจากที่ดินโจทก์หากไม่สามารถบังคับจำเลยได้ ให้จำเลยชดใช้ราคาที่ดินและค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 91,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่าจำเลยสร้างรั้วในที่ดินพิพาทและครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว หากศาลฟังว่าจำเลยสร้างรั้วรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จำเลยก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อรั้วพิพาทออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 30108 ตำบลลาดยาว กรุงเทพมหานคร คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า รั้วสังกะสีของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์คิดเป็นเนื้อที่ 2 ตารางวา ตามแผนที่พิพาทแล้ววินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นไม่ตั้งประเด็นตามคำให้การต่อสู้ของจำเลย ในเรื่องที่จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ โดยให้เหตุผลว่า ในข้อรุกล้ำนั้นจำเลยมิได้ให้การยืนยัน จึงไม่ตั้งประเด็นในข้อได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ให้เป็นการไม่ชอบนั้น ได้พิจารณาคำให้การของจำเลยที่ว่า จำเลยได้สร้างรั้วพิพาทตรงตามหลักเขตที่ดิน และได้ครอบครองที่ดินโดยปรปักษ์ติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปี จำเลยจึงมิได้ปลูกสร้างรั้วรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ หากศาลจะฟังว่าจำเลยได้สร้างรั้วรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์เพียงใด จำเลยก็ขอต่อสู้ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว เห็นว่า เขตที่ดินตามโฉนดของโจทก์จำเลยอยู่ติดต่อกัน แม้ช่างรังวัดของกรมที่ดินเองก็ยังหาหลักเขตที่ดินของโจทก์จำเลยด้านที่ติดต่อกันไม่พบ การรังวัดตรวจสอบต้องอาศัยต้นร่างเดิมและหลักเขตที่ดินบริเวณใกล้เคียงมาเชื่อมโยงและคำนวณตามหลักวิชา ทั้งข้อเท็จจริงก็ได้ความว่าเนื้อที่ที่จำเลยทำรั้วรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์เล็กน้อยเพียง 2 ตารางวา จึงเชื่อว่าในขณะที่จำเลยให้การนั้น ยังไม่สามารถกำหนดได้โดยแน่ชัดว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์หรือของจำเลย ดังนั้นการที่จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของจำเลย หรือหากศาลฟังว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของโจทก์แล้ว จำเลยก็ได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยปรปักษ์ เช่นนี้จำเลยย่อมให้การได้ เพราะมีเหตุผลในการต่อสู้คดีของจำเลย จะอ้างว่าจำเลยมิได้ให้การยืนยันในเรื่องการรุกล้ำหาได้ไม่ และที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า การที่จำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยเข้าใจว่าเป็นการครอบครองที่ดินของตนเอง ถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองโดยปรปักษ์นั้น เห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ เมื่อจำเลยเข้าครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ หากครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว หาจำต้องเป็นการครอบครองโดยรู้อยู่ว่าเป็นที่ดินของบุคคลอื่นไม่ ในประเด็นที่ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่นี้ แม้ศาลล่างทั้งสองจะยังไม่ได้วินิจฉัยแต่พยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมาข้อเท็จจริงพอฟังได้แล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวเสียก่อน พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเพิ่งทำรั้วพิพาทก่อนฟ้องคดีนี้ 7 ปีนั้น ปรากฏจากสำเนาโฉนดที่ดินของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.3 ว่า โจทก์ซื้อที่ดินแปลงนี้มาเมื่อ พ.ศ. 2512 และโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่าขณะโจทก์ซื้อที่ดินมานั้น มีรั้วของจำเลยอยู่แล้ว ข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่าจำเลยเพิ่งสร้างรั้วพิพาทมาก่อนฟ้อง 7 ปี จึงขัดต่อพยานหลักฐานดังกล่าว ทั้งที่โจทก์อ้างว่า จากการถมที่ในที่ดินของจำเลยเป็นเหตุให้ฐานและส่วนยอดของรั้วเคลื่อนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์นั้นก็ไม่น่าเชื่อ เพราะลำพังการนำดินมาถมตามปกติ ไม่อาจทำให้ฐานของรั้วที่มีอยู่แล้วต้องเคลื่อนที่ออกไปดังที่โจทก์อ้างได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้สร้างรั้วรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ และได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกินกว่า 10 ปี จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทนั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรื้อรั้วพิพาทออกไปนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share