คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3008/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เหตุเกิดเวลากลางวัน ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายคุยอยู่กับจำเลยและเอาน้ำให้จำเลยดื่ม เมื่อเกิดเหตุแล้วในชั้นที่ผู้เสียหายไปแจ้งความ ผู้เสียหายแจ้งว่าหากเห็นหน้าคนร้ายอีกก็จำได้ในชั้นจับกุมเมื่อผู้เสียหายพบจำเลย จำเลยเดินหลบหน้าผู้เสียหายจำเลยกับผู้เสียหายไม่มีสาเหตุกัน ดังนี้น่าเชื่อว่าจำเลยเป็นคนร้ายชิงทรัพย์ผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 25147ข้อ 14 และขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 2,480 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 10 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 2,480 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า วันเวลาเกิดเหตุคนร้ายมีมีดเป็นอาวุธชิงสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยมาดำเนินคดีมีปัญหาว่าจำเลยใช่คนร้ายที่ชิงทรัพย์ของผู้เสียหายหรือไม่ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว คดีนี้เหตุเกิดเวลากลางวัน ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายคุยอยู่กับจำเลยเอาน้ำให้จำเลยดื่ม ทั้งเมื่อเกิดเหตุแล้วในชั้นที่ผู้เสียหายไปแจ้งความ ร้อยตำรวจโทนิรัตน์เบิกความว่า ผู้เสียหายแจ้งว่าหากเห็นหน้าคนร้ายอีกก็จำได้จึงเชื่อว่าผู้เสียหายจำคนร้ายได้ดังที่เบิกความ ในชั้นจับกุมข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายต่อไปว่าเมื่อรถโดยสารคันที่ผู้เสียหายเดินทางไปจังหวัดตรังจอดที่กะปางผู้เสียหายเห็นจำเลยเดินอยู่ใกล้ ๆ จำเลยหลบหน้าผู้เสียหายกิริยาอาการของจำเลยดังกล่าวเป็นเหตุผลประกอบคำเบิกความของผู้เสียหายให้น่าเชื่อว่าจำเลยเป็นคนร้ายดังที่ผู้เสียหายยืนยันเพราะมิฉะนั้นไม่มีเหตุที่จำเลยจะต้องหลบหน้าผู้เสียหาย จำเลยกับผู้เสียหายไม่มีสาเหตุกัน คำเบิกความของผู้เสียหายดังได้กล่าวมาแล้วจึงมีน้ำหนัก ที่จำเลยฎีกาว่า การจดจำคนร้ายตามปกติคนทั่วไปจะจำได้ไม่เกิน 1 สัปดาห์ ศาลฎีกาเห็นว่าหลักเกณฑ์ดังกล่าวเลื่อนลอยไม่มีเหตุผล แม้ผู้เสียหายจะเห็นจำเลยอีกครั้งเมื่อล่วงเลย 1 สัปดาห์ มาแล้ว ก็ไม่เป็นเหตุที่จะให้ฟังว่าผู้เสียหายจำคนร้ายไม่ได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า การจดจำคนร้ายของผู้เสียหายมีโอกาสผิดพลาดได้มาก เพราะขณะเกิดเหตุมีเหตุอันน่าหลาดกลัวโดยคนร้ายใช้มีดขู่เข็ญว่าจะแทงผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโอกาสที่ผู้เสียหายจะจำคนร้ายได้มีตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุเพราะผู้เสียหายเบิกความว่าคนร้ายมานั่งที่หน้าบ้านผู้เสียหาย คุยกับผู้เสียหายและขอน้ำผู้เสียหายดื่ม ดังนั้นแม้จะมีเหตุน่าหวาดกลัวขณะเกิดเหตุดังที่จำเลยฎีกาก็ไม่เป็นเหตุที่จะให้ผู้เสียหายจำคนร้ายผิดพลาดไปได้ ดังวินิจฉัยมาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง พยานฐานที่อยู่ของจำเลยเลื่อนลอยไม่ประกอบด้วยเหตุผล ฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ไม่ได้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายดังที่โจทก์ฟ้อง ศาลล่างทั้งสองพิพากษาคดีชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share