แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีมีประเด็นว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ ที่โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างบริษัท ข. เป็นผู้รักษาทรัพย์สินของบริษัทดังกล่าวเนื่องจากจำเลยนำยึดเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ และจำเลยได้จ่ายเงินเดือนให้โจทก์เป็นค่ารักษาทรัพย์นั้น เป็นการแถลงรับกันในข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เพียงพอจะวินิจฉัยได้แล้วว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ แม้โจทก์จะมีพยานมาสืบข้อเท็จจริงอย่างใดก็หาอาจรับฟังนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันไม่ ที่ศาลแรงงานกลางสั่งงดสืบพยาน จึงชอบแล้ว
เมื่อเดือนสิงหาคม 2528 จำเลยฟ้องบริษัท ข. ให้ชำระหนี้กรรมการผู้จัดการหลบหนี และบริษัท ข. หยุดกิจการ จำเลยให้โจทก์ซึ่งเป็นยามรักษาการณ์ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป โดยจ่ายเงินเป็นรายเดือนให้ ต่อมาจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของบริษัท ข. เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2529 เจ้าพนักงานบังคับคดีมอบให้โจทก์เป็นผู้รักษาทรัพย์อีก ดังนี้ จำเลยเพียงแต่ตกลงให้โจทก์รับทำหน้าที่เฉพาะอย่าง คือ การดูแลทรัพย์สินของบริษัท ข. มิให้สูญหายหรือเสียหาย ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวไม่ใช่งานของจำเลยโดยตรง ทั้งโจทก์มิได้อยู่ในการบังคับบัญชาของจำเลย เมื่อมีการยึดทรัพย์ส่ินของบริษัท ข. ขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีมอบให้โจทก์เป็นผู้รักษาทรัพย์ก็เป็นการมอบตามอำนาจและหน้าที่ แม้จำเลยจะให้เงินเดือนแก่โจทก์จำนวนเดิมก็ตามยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้จ้างโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ตำแหน่งยามรักษาการณ์ของบริษัทขอนแก่นอาหารกระป๋องลับแล จำกัด เมื่อ พ.ศ. 2528นายลี สาริพันธ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลบหนีไปต่างประเทศ จำเลยได้เข้าครอบครองทรัพย์สินของบริษัทแทนนายลี และรับช่วงเอาโจทก์มาเป็นลูกจ้างของจำเลยในหน้าที่และอัตราค่าจ้างเดิมต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า และไม่จ่ายเงินตามฟ้องแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ไม่เคยเข้าครอบครองทรัพย์สินของบริษัทไม่ได้รับช่วงเอาโจทก์มาเป็นลูกจ้างของจำเลย จำเลยเคยฟ้องบริษัทดังกล่าวให้ชำระหนี้ นายลีหลบหนี โจทก์ไม่ได้รับเงินเดือนมาหลายเดือน จำเลยเกรงว่าโจทก์จะละทิ้งหน้าที่ยามดูแลโรงงาน จึงให้โจทกืทำน้าที่ยามในฐานะลูกจ้างของบริษัทดังกล่าวต่อไป โดยจำเลยจะจ่ายเงินเดือนให้ในอัตราเดิมจนกว่าจะมีการยึดทรัพย์สินและขายทอดตลาด ต่อมาเมื่อได้ขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าวเสร็จแล้ว จำเลยจึงเลิกจ่ายเงินแก่โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องตามฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าคำสั่งของศาลแรงงานกลางที่ให้งดสืบพยานชอบหรือไม่ และตามข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ ในปัญหาแรกว่าที่ศาลแรงงานกลางสั่งงดสืบพยานเป็นคำสั่งที่ชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์ ขอให้บังคับให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าทำงานในวันหยุดและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี จำเลยให้การปฏิเสธว่า โจทก์มิได้เป็นลูกจ้างของจำเลย คดีมีประเด็นว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ ที่โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างบริษัทขอนแก่นอาหารกระป๋องลับแล จำกัด เป็นผู้รักษาทรัพย์สินของบริษัทดังกล่าวที่ถูกจำเลยนำยึดเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ และจำเลยได้จ่ายเงินเดือนให้โจทก์เป็นค่ารักษาทรัพย์อย่างไรนั้น เป็นการแถลงรับกันในข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อที่จะวินิจฉัยได้แล้วว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ แม้โจทก์จะมีพยานมาสืบข้อเท็จจริงอย่างใดก็หาอาจรับฟัองนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันได้ไม่ ที่ศาลแรงงานกลางสั่งงดสืบพยานจึงชอบแล้ว ส่วนประเด็นที่ว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่นั้นข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัทขอนแก่นอาหารกระป๋องลับแล จำกัด ซึ่งมีนายลี สาริพันธ์ เป็นกรรมการผู้จัดการ เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2528 จำเลยได้ฟ้องบริษัทดังกล่าวต่อศาลจังหวัดขอนแก่น ให้ชำระหนี้เป็นเงิน105,680,147.89 บาท นายลีหลบหนีหยุดกิจการ ไม่ได้ควบคุมดูแลโรงงานอาหารกระป๋อง ซึ่งโจทก์กับนายบุญธรรม สอนบุญทอง ลูกจ้างทำหน้าที่เป็นยามรักษาการณ์ โจทก์กับนายบุญธรรมไม่ได้รับเงินเดือนมาหลายเดือนแล้วจำเลยเกรงว่าโจทก์กับนายบุญธรรมจะละทิ้งหน้าที่ดูแลโรงงาน อันเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้จำเลยจำเลยจึงเสนอให้คนทั้งสองปฏิบัติหน้าที่ยามในฐานะลูกจ้างบริษัทดังกล่าวต่อไป โดยจำเลยจะให้เงินเป็นรายเดือนคนละ2,060 บาท จนกว่าทรัพย์สินดังกล่าวจะถูกยึดและขายทอดตลาดตามหมายบังคับคดีต่อมาเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2529 ผู้แทนจำเลยได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ คือ ที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้าง และเครื่องอุปกรณืของบริษัทขอนแก่นอาหารกระป๋องลับแล จัดกัด เพื่อขายทอดตลาด ทรัพย์ที่ถูกยึดดังกล่าวเจ้าพนักงานบังคับคดีได้มอบให้โจทก์กับนายบุญธรรมเป็นผู้รักษาทรัพย์ตามรายงานการยึดทรัพย์ ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2529ได้ความดังกล่าว เห็นว่า จำเลยเพียงแต่ตกลงให้โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทขอนแก่นอาหารกระป๋องลับแล จำกัด ปฎิบัติหน้าที่เป็นยามในฐานะลูกจ้างของบริษัทดังกล่าวต่อไป เนื่องจากเมื่อบริษัทดังกล่าวถูกจำเลยฟ้องนายลีซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการหลบหนี หยุดกิจการ โจทก์กับนายบุญธรรมไม่ได้รับเงินเดือนมาหลายเดือนแล้ว จำเลยเกรงว่า โจทก์จะละทิ้งหน้าที่ในการดูแลโรงงานซึ่งเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ ทำให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทดังกล่าวต้องเสียหาย จึงเป็นการมอบให้โจทก์รับทำหน้าที่เฉพาะอย่าง คือการดูแลทรัพย์สินของบริษัทขอนแก่นอาหารกระป๋องลับแล จำกัด มิให้สูญหายหรือเสียหาย ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวมิใช่งานของจำเลยโดยตรง ทั้งโจทก์ก็มิได้อยู่ในการบังคับบัญชาของจำเลย และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ปฏิบัติต่อโจทก์อย่างเป็นลูกจ้าง โจทก์จึงมิได้เป็นลูกจ้างของจำเลยและต่อมาผู้แทนจำเลยได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์คือ ที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างและเครื่องอุปกรณ์ของบริษัทขอนแก่นอาหารกระป๋องลับแล จำกัด เพื่อขายทอดตลาด ทรัพย์ที่ถูกยึดดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มอบให้โจทก์และนายบุญธรรมเป็นผู้รักษาทรัพย์ ก็เห็นได้ว่าโจทก์เป็นผู้ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมอบให้เป็นผู้รักษาทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ตามอำนาจหน้าที่ แม้จำเลยจะให้เงินเดือนแก่โจทก์เท่าที่โจทก์ได้รับอยู่แต่เดิมก็ตาม ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้จ้างโจทก์
พิพากษายืน.