แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยผู้อาศัยอยู่กับโจทก์ได้ปลูกบ้านบนที่ดินของโจทก์โดยโจทก์รู้เห็นยินยอม บ้านพิพาทย่อมเป็นของจำเลยและไม่เป็นส่วนควบของที่ดินพิพาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้อาศัยออกจากบ้านและที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่าบ้านและที่ดินเป็นของจำเลยทั้งสอง โดยที่ดินนั้นโจทก์เป็นผู้ยกให้ ส่วนบ้านจำเลยทั้งสองปลูกเอง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านและออกไปจากที่ดินพิพาท โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้เลี้ยงดูจำเลยที่ 1 มาตั้งแต่จำเลยที่ 1 ยังเป็นเด็ก ในปี 2517 จำเลยที่ 1ได้แต่งงานกับจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองอยู่กับโจทก์ประมาณ 2 ปีจึงได้แยกออกไปอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของโจทก์ โจทก์ฎีกาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ บ้านซึ่งปลูกบนที่ดินเป็นส่วนควบของที่ดินจึงเป็นของโจทก์ พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าโจทก์ได้ออกเงินปลูกบ้านพิพาทและจำเลยทั้งสองฎีกาว่า เมื่อปี 2517จำเลยที่ 1 ได้แต่งงานกับจำเลยที่ 2 โจทก์ได้พูดยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 ในวันแต่งงาน จำเลยทั้งสองได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทและปลูกบ้านบนที่พิพาท บ้านและที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง นั้นปัญหาวินิจฉัยมีว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยจำเลยทั้งสองรับว่าเดิมที่พิพาทเป็นของโจทก์ ในปี 2517 จำเลยที่ 1ได้แต่งงานกับจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองเบิกความว่า ในวันแต่งงานโจทก์ได้พูดยกที่พิพาทให้จำเลยที่ 1 ต่อหน้าญาติผู้ใหญ่หลายคนขณะนั้นที่พิพาทยังไม่มี น.ส.3 จำเลยที่ 2 ว่าโจทก์ได้ขอออก น.ส.3ในปี 2520 ตาม น.ส.3 ก. เอกสารหมาย จ.1 ได้ออกให้โจทก์เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2520 หลังจากที่จำเลยทั้งสองแต่งงานกันถึง 3 ปีหากโจทก์ได้พูดยกที่พิพาทให้จำเลยที่ 1 ในวันแต่งงาน เมื่อจำเลยทั้งสองแต่งงานกันแล้วยังคงอาศัยอยู่กับโจทก์ถึง 2 ปี จึงได้แยกไปอยู่ในบ้านและที่พิพาท เมื่อโจทก์ขอออก น.ส.3 จำเลยทั้งสองก็น่าจะขอให้ออกในนามของจำเลยที่ 1 หากโจทก์ไม่ยอมจำเลยทั้งสองก็น่าจะโต้แย้งคัดค้านการขอออก น.ส.3 จำเลยทั้งสองมิได้จัดการแต่อย่างใด พยานหลักฐานจำเลยทั้งสองที่ว่าโจทก์ได้พูดยกที่พิพาทให้จำเลยที่ 1 ในวันแต่งงานจึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะเชื่อถือได้ฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์และได้ขอออก น.ส.3 ตามเอกสารหมาย จ.1
ปัญหาต่อไปบ้านพิพาท โจทก์เบิกความว่า เมื่อจำเลยทั้งสองแต่งงานกันแล้ว ได้อยู่อาศัยกับโจทก์ต่อมาจนกระทั่งมีบุตร 2 คนบ้านโจทก์คับแคบโจทก์และนางวันทองภริยาโจทก์เบิกความว่าโจทก์ได้ไปปลูกบ้านสองชั้น ชั้นล่างพื้นปูนบนที่พิพาท โจทก์ได้จ่ายค่าแรงก่อสร้างไป 13,000 บาท ปลูกอยู่ประมาณ 1 ปีเสร็จให้จำเลยทั้งสองไปอยู่อาศัย จำเลยทั้งสองเบิกความว่าเมื่อแต่งงานกันแล้วอยู่กับโจทก์ต่อมาอีก 2 ปี ในปี 2519 จำเลยทั้งสองได้ไปปลูกบ้านบนที่พิพาทสิ้นเงิน 50,000 บาท โดยจ้างนายทองแดงพี่ชายจำเลยที่2 เป็นคนปลูกสร้าง ค่าจ้าง 13,000 บาท นายทองแดง แก้วจันดีเบิกความว่า เมื่อปี 2519 จำเลยที่ 2 ได้มาขอให้ไปช่วยปลูกบ้านให้มีช่างไปทำ 2-3 คน คิดค่าแรง 13,000 บาท จำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด เมื่อปลูกเสร็จจำเลยทั้งสองได้เข้าอยู่ในบ้านพิพาท โจทก์และภริยาโจทก์ไม่ได้เข้าไปอยู่ในบ้านพิพาท ทั้งปรากฏตามคำเบิกความของนางวันทองภริยาโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองไปแจ้งขอทะเบียนบ้านพิพาทเป็นของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.1 เชื่อว่าจำเลยทั้งสองได้ปลูกบ้านบนที่ดินพิพาทโดยโจทก์รู้เห็นยินยอมบ้านพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง และไม่ถือว่าบ้านพิพาทเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาท เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองอยู่ในที่พิพาทจำเลยทั้งสองก็ต้องรื้อบ้านออกไปจากที่พิพาท ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาโจทก์และจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน